บทความและข่าวสาร | Seven Peaks Insights

Cross platform application คืออะไร ใช่เทรนด์การเขียน mobile app ในอนาคตหรือเปล่า?

SPS- What is InsurTech_01 Herobanner (11)-2

ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา cross platform application หรือก็คือการพัฒนาแอปพลิเคชันข้ามแพลตฟอร์ม เป็นเทรนด์ที่โดดเด่นอย่างมากในอุตสาหกรรมแอปฯ ด้วยการสร้างแอปพลิเคชันที่รองรับการใช้งานได้หลายแพลตฟอร์ม ไม่ว่าจะเป็น iOS, Android และเว็บไซต์ ซึ่งการที่ developer สามารถสร้างแอปฯ สำหรับหลายแพลตฟอร์มด้วยการใช้โค้ดชุดเดียว จึงทำให้การพัฒนา cross platform application ได้เปรียบในเรื่องของงบลงทุนและเวลาที่ใช้พัฒนาอย่างมาก

อย่างไรก็ตาม ด้วยความที่การพัฒนาแอปพลิเคชันในปัจจุบันมีอยู่ 2 รูปแบบหลักๆ คือ Native กับ cross platform โดยมี Google และ Facebook เป็นสองหัวเรือใหญ่ที่คอยออกเครื่องมือพัฒนาแอปพลิเคชันใหม่ๆ สู่ตลาด และยังรวมถึงบริษัทด้านการพัฒนาแอปพลิเคชันชั้นนำอื่นๆ อย่าง JetBrains และอีกมากมาย 

เราจึงอยากที่จะพาผู้อ่านไปทำความเข้าใจว่า cross platform application คืออะไร และแต่ละแบบมีข้อดีข้อเสีย รวมถึงทำไมถึงเป็นเทรนด์ที่ developer ทุกคนควรที่จะสนใจและศึกษาว่าสามารถช่วยให้การทำโปรเจกต์พัฒนา digital product นั้นรวดเร็วและคุ้มกับต้นทุนได้อย่างไร

 

Cross platform application คืออะไร ทำความเข้าใจฉบับรวบรัดที่นี่

Cross platform application คือแอปพลิเคชัน, โปรแกรม, หรือซอฟต์แวร์ที่ออกแบบมาเพื่อทำงานบนระบบปฏิบัติการหรือแพลตฟอร์มหลายระบบ เช่น ระบบปฏิบัติการที่แตกต่างกัน (เช่น Windows, macOS, Linux) หรือมือถือต่างๆ (เช่น iOS, Android) โดยแอปฯ ชนิดนี้ได้รับการพัฒนาให้สามารถใช้งานบนอุปกรณ์และระบบปฏิบัติการต่างๆ ได้โดยไม่จำเป็นต้องแก้ไขเพิ่มเติมหรือสร้างแอปฯ สำหรับแต่ละแพลตฟอร์มขึ้นมาต่างหากแต่อย่างใด

โดย developer มักจะใช้เทคโนโลยี เช่น เฟรมเวิร์กแบบ cross-platform หรือเครื่องมือเพื่อสร้างแอปพลิเคชันดังกล่าว ซึ่งช่วยให้พวกเขาเขียนโค้ดเพียงครั้งเดียวและสามารถปรับใช้ได้กับหลายแพลตฟอร์ม วิธีการนี้ช่วยให้ผู้ที่จะทำ digital product ประหยัดเวลาและทรัพยากรได้มากขึ้น เมื่อเปรียบเทียบกับการพัฒนาแอปพลิเคชันเฉพาะสำหรับแต่ละแพลตฟอร์ม ทำให้แอปพลิเคชันข้ามแพลตฟอร์มเป็นตัวเลือกที่มีประสิทธิภาพและคุ้มค่าสำหรับการเข้าถึงผู้ใช้ในวงกว้าง

 

เครื่องมือเขียนและสร้างแอปฯ แบบ cross platform application มีกี่แบบ?

ปัจจุบันนั้นมีเครื่องมือและเฟรมเวิร์กมากมายสำหรับการเขียนและสร้าง cross platform application เครื่องมือเหล่านี้แตกต่างกันไปในแง่ของภาษาการเขียนโปรแกรมที่รองรับ โดยเหล่านี้เป็นเครื่องมือและเฟรมเวิร์กการพัฒนาข้ามแบบ cross platform ที่ได้รับความนิยมจากบรรดา developer ดังนี้

React Native, Flutter, .NET MAUI, and Kotlin symbol

1. React Native

React Native เป็นเฟรมเวิร์ก JavaScript แบบ open source ยอดนิยมที่ใช้เพื่อสร้างแอปพลิเคชันมือถือแบบ cross-platform สำหรับ iOS และ Android และแน่นอนว่าเฟรมเวิร์กนี้ถูกพัฒนาโดย Facebook และเปิดตัวสู่วงการพัฒนาแอปฯ เมื่อปี 2015 เป็นครั้งแรก

2. Flutter

ในปี 2015 Google ได้เปิดตัว Flutter ซึ่งเป็นเฟรมเวิร์กพัฒนาซอฟต์แวร์แบบ open source ที่ใช้สร้าง UI บนแอปพลิเคชันมือถือขึ้นมา นั่นทำให้ developer สามารถสร้าง cross-platform application ด้วยโค้ดเพียงชุดเดียว และยังนำไปปรับใช้กับแอปฯ มือถือ, เว็บไซต์, และซอฟต์แวร์บนเดสก์ท็อปได้ในครั้งเดียวอีกด้วย และจุดที่ทำให้ Flutter ได้รับความนิยมอย่างมากก็มาจากความสามารถในการทำให้แอปฯ ออกมาสวยงามและมีประสิทธิภาพสูง ซึ่งช่วยเพิ่มประสบการณ์ในการใช้งานได้ดีเหมือนกันในทุกแพลตฟอร์ม

3. .NET MAUI

.NET Multi-platform App UI (MAUI) อ่านว่า “เมาอิ” เป็นเฟรมเวิร์กสำหรับการสร้าง cross platform application แบบ native โดยใช้ .NET ecosystem อันเป็นวิวัฒนาการของเฟรมเวิร์ก Xamarin.Forms และเป็นส่วนหนึ่งของแพลตฟอร์ม .NET 6 ที่ใหญ่กว่า โดย MAUI ช่วยให้ developer ลงมือสร้างแอปพลิเคชันที่สามารถทำงานได้บนหลายแพลตฟอร์ม ไม่ว่าจะเป็น Windows, Android, iOS, macOS และอีกมากมาย ด้วยการใช้โค้ดเพียงชุดเดียวเท่านั้น

4. Kotlin Multiplatform

Kotlin Multiplatform หรือที่เรียกกันทั่วไปว่า Kotlin Multiplatform Mobile (KMM) เป็นเทคโนโลยีที่ถูกพัฒนาขึ้นโดย JetBrains ผู้สร้างภาษาการเขียนโปรแกรม Kotlin ที่ช่วยให้ developer สามารถเขียนโค้ดที่ใช้ร่วมกันได้กับหลายแพลตฟอร์ม เช่น Android, iOS, เว็บไซต์ และแม้แต่แอปพลิเคชันฝั่งเซิร์ฟเวอร์ โดยการใช้ Kotlin

 

Developer watch the monitor while he coding the mobile application


ทำไมเทรนด์การพัฒนาแอปฯ ด้วยแนวทาง cross platform application ถึงน่าสนใจ?

การพัฒนา cross platform application ช่วยให้สามารถนำเสนอ digital product ออกสู่ตลาดได้เร็วขึ้น เนื่องจาก developer สามารถสร้างและปรับใช้แอปพลิเคชันสำหรับหลายแพลตฟอร์มพร้อมกันได้ เทรนด์นี้จะยังคงได้รับความนิยมตั้งแต่ปี 2023 เรื่อยไปถึงอนาคต เนื่องจากธุรกิจจำนวนมากยังเลือกใช้การพัฒนาข้ามแพลตฟอร์มเพื่อปรับปรุงกระบวนการพัฒนาแอปพลิเคชันของตน และนี่คือข้อดีที่น่าสนใจของการพัฒนาดิจิทัลโปรดักต์ด้วยแนวทาง cross-platform

  • ประหยัดต้นทุน: การพัฒนาแอปฯ แบบ cross-platform ช่วยให้ธุรกิจสามารถสร้างแอปพลิเคชันสำหรับหลายแพลตฟอร์มโดยการใช้โค้ดเพียงชุดเดียว ซึ่งช่วยลดต้นทุนในการพัฒนาได้เยอะมาก เนื่องจาก developer ไม่จำเป็นต้องมาเขียนและคอยดูแลโค้ดสำหรับแต่ละแพลตฟอร์มนั่นเอง

โดยผลสำรวจที่จัดทำโดย Statista ในปี 2021 พบว่า 64% ของผู้ตอบแบบสอบถามระบุว่า "การประหยัดต้นทุน" เป็นเหตุผลหลักที่พวกเขาตัดสินใจพัฒนา cross platform application

  • ประหยัดเวลา: การพัฒนาข้ามแพลตฟอร์มได้เปิดโอกาสให้ developer สามารถสร้างและปรับใช้แอปพลิเคชันบนแพลตฟอร์มที่แตกต่างกันได้ไปพร้อมๆ กัน ส่งผลให้พัฒนาแอปฯ และช่วยย่นระยะเวลาที่จะปล่อยออกสู่ตลาดได้เร็วยิ่งขึ้น

  • นำโค้ดกลับมาใช้ซ้ำได้: หนึ่งในข้อดีของ cross platform application ก็คือการที่ developer สามารถนำโค้ดส่วนใหญ่มาใช้ซ้ำได้ทั้งแพลตฟอร์ม สิ่งนี้ไม่เพียงช่วยประหยัดเวลาเท่านั้น แต่ยังรับประกันว่าแอปฯ จะมีความเสถียรสูงและลดโอกาสที่จะเกิดข้อบกพร่องใดๆ ก็ตาม เนื่องจากมีโค้ดเพียงชุดเดียวที่จำเป็นต้องดูแลรักษา

  • เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่กว้างขึ้น: ด้วยการกำหนดเป้าหมายที่จะทำตลาดแอปฯ ในหลายแพลตฟอร์ม ธุรกิจจึงสามารถที่จะเข้าถึงกลุ่มผู้ใช้งานได้มากขึ้น แทนที่แอปฯ จะถูกจำกัดให้อยู่ในระบบปฏิบัติการใดโดยเฉพาะ แต่ cross platform application คือตัวพลิกเกมที่สามารถรองรับได้ทั้งผู้ใช้ Android และ iOS เรียกได้ว่าเป็นการขยายฐานผู้ใช้ที่มีศักยภาพมากวิธีหนึ่ง

    การวิจัยโดย App Annie พบว่า cross platform application มักจะมีฐานผู้ใช้ที่ใหญ่กว่าเนื่องจากความพร้อมใช้งานในหลายแพลตฟอร์ม และนั่นส่งผลให้ผู้ใช้เข้ามามีส่วนร่วมมากขึ้น

  • บำรุงรักษาได้ง่ายขึ้น: ด้วยความที่การบำรุงรักษา cross platform application ทำได้โดยการดูแล อัปเดต และแก้ไขข้อบกพร่องบนโค้ดเพียงชุดเดียว ทำให้ developer สามารถนำการเปลี่ยนแปลงไปปรับใช้ได้กับทุกแพลตฟอร์มได้พร้อมๆ กัน และยังทำให้มั่นใจว่าทุกฟีเจอร์บนทุกแพลตฟอร์มมีความสอดคล้องและมอบประสบการณ์ผู้ใช้ที่ดีเหมือนกันหมด

  • การเข้าถึงฟีเจอร์แบบ Native: เฟรมเวิร์กแบบ cross-platform เปิดโอกาสให้ developer เข้าถึงฟีเจอร์แบบ Native และ API ที่ช่วยให้นักพัฒนาสามารถสร้างแอปพลิเคชันที่สามารถมอบประสบการณ์เหมือนกับการใช้งานแอปฯ ที่พัฒนามาในรูปแบบ Native 

  • การสร้างต้นแบบที่เร็วขึ้น: การพัฒนา cross platform application ช่วยให้ธุรกิจใดๆ ก็ตามที่กำลังพัฒนา digital product สร้างต้นแบบและการทดสอบแอปฯ ได้อย่างรวดเร็ว ซึ่ง developer สามารถสร้างและทดสอบแนวคิดต่างๆ ของแอปฯ ได้ในหลายแพลตฟอร์มอย่างรวดเร็ว โดยไม่ต้องเสียเงินลงทุนไปกับการพัฒนาแอปฯ ต้นแบบสำหรับนำมาทดสอบเฉพาะแพลตฟอร์ม

  • ใช้ประโยชน์จากบุคลากรหรือทักษะที่มีอยู่: สำหรับธุรกิจและ developer ที่คุ้นเคยกับเทคโนโลยีการพัฒนาเว็บไซต์หรือภาษาที่ใช้เขียนโปรแกรมเฉพาะ เฟรมเวิร์กแบบ cross-platform จะง่ายต่อการใช้งานมากๆ เพราะเพียงแค่เรียนรู้เพิ่มเติมและประยุกต์ใช้ทักษะเดิมที่มีอยู่ เพียงเท่านี้ก็ทำให้กระบวนการพัฒนามีประสิทธิภาพมากขึ้นแล้ว

พัฒนาแอปพลิเคชันแบบ cross-platform ที่ตอบโจทย์ในเรื่องธุรกิจ ตรงใจผู้ใช้งาน กับทีมผู้เชี่ยวชาญระดับโลก

การพัฒนาแอปฯ แบบ cross platform application จะยังคงได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากความต้องการ digital product ที่เพิ่มสูงขึ้นทั่วโลกรวมถึงในไทยในทุกๆ ปี หากธุรกิจใดต้องการพัฒนาแอปฯ ให้สามารถใช้งานได้ทั้ง Android, iOS, และบนเว็บไซต์ ได้ในคราวเดียวด้วยประสิทธิภาพสูงสุด สามารถปรึกษา Seven Peaks เพื่อมาดูว่าเราจะช่วยให้ไอเดียที่น่าสนใจของคุณกลายเป็นจริงได้อย่างไร