บทความและข่าวสาร | Seven Peaks Insights

Product Discovery: กลยุทธ์สำคัญเพื่อ "ล้มให้ไว เจ็บให้น้อย" ในการพัฒนาแอปฯ และเว็บไซต์ยุคใหม่

SPS- ProdDisc_FailFastCheap_Herobanner (1)

ในการแข่งขันที่ดุเดือดของการพัฒนาแอปพลิเคชันหรือเว็บไซต์ประเภทต่างๆ ในยุคนี้ แรงกดดันที่ทำให้เราอยากจะกระโดดไปเริ่มเขียนโค้ด ออกแบบ และลงมือสร้างทันทีนั้นมีสูงมาก ทุกทีมต่างก็กระตือรือร้นที่อยากจะรีบปล่อยของออกสู่ตลาด แต่การรีบร้อนสร้างโดยยึดตามสมมติฐานที่ยังไม่ผ่านการทดสอบ มักจะทำให้เราข้ามขั้นตอนแรกที่สำคัญที่สุดไป ซึ่งอาจนำไปสู่ความล้มเหลวที่รุนแรงและมีราคาแพงมหาศาล ขั้นตอนที่จำเป็นและข้ามไม่ได้เลยนี้ก็คือ product discovery นั่นเอง

product discovery ไม่ใช่แค่เรื่องฟุ่มเฟือยหรือสิ่งที่ทำไว้แค่ให้ครบเช็กลิสต์ แต่มันคือการลงทุนทางธุรกิจที่ฉลาดที่สุดที่องค์กรจะทำได้ เพราะนี่คือกระบวนการหลักที่ทำให้เกิดแนวคิด "ล้มให้ไว เจ็บให้น้อย" (fail fast, fail cheap) ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของการบรรลุผลสำเร็จในตลาดที่ยั่งยืนอย่างแท้จริง

ทำไมการข้าม Product Discovery ถึงนำไปสู่ความล้มเหลวที่ทั้งช้าและจ่ายหนัก

แนวทางการปล่อยแอปพลิเคชันหรือเว็บไซต์ใหม่แบบเดิมๆ ที่ยึดเอาความเชื่อเป็นหลัก มักจะเหมือนกับการปาลูกดอกในความมืด เริ่มจากมีไอเดีย มีการจัดสรรทรัพยากร และทุ่มเทแรงกายแรงใจนานหลายเดือนเพื่อสร้างมันขึ้นมาอย่างละเอียด แต่พอถึงเวลาเปิดตัวจริงๆ ความจริงที่เจ็บปวดมักจะปรากฏให้เห็น ไม่ว่าจะเป็นผู้ใช้งานไม่ได้ต้องการโซลูชันนั้นจริงๆ พวกเขาไม่เข้าใจคุณค่าของมัน หรือโปรดักต์นั้นเข้ากับโมเดลธุรกิจไม่ได้เลย ผลลัพธ์แบบนี้ไม่ใช่การ "ล้มให้ไว" แต่มันคือความล้มเหลวที่ทั้งช้าและแพง เพราะมันกัดกินทั้งเงินทุนและกำลังใจของคนทำงานไปมหาศาล

ต้นทุนที่แท้จริงของการข้ามขั้นตอนการทำ product discovery อย่างละเอียด ประกอบด้วย

  • เสียเวลาพัฒนาไปฟรีๆ: ทีม developer และ designer หมดเวลาไปเป็นเดือนๆ กับการสร้างฟีเจอร์ที่ไม่มีใครอยากได้
  • เผาเงินทุนทิ้ง: เงินลงทุนถูกใช้ไปกับการสร้างโซลูชันที่ผิดทาง แทนที่จะเอามาใช้เพื่อการทดลองหาทางที่ถูกต้องอย่างรวดเร็ว
  • เสียโอกาสในตลาด: กว่าจะรู้ตัวว่ามาผิดทาง คู่แข่งก็ครองตลาดไปเรียบร้อยแล้ว
  • ทีมงานหมดกำลังใจ: ไม่มีอะไรบั่นทอนกำลังใจได้เท่ากับการเห็นงานที่ทุ่มเททำมาหลายเดือนถูกกลุ่มเป้าหมายเมินเฉยหรือถูกพับโปรเจกต์ทิ้ง
  • เสียชื่อเสียง: การเปิดตัวแล้วต้องม้วนเสื่อกลับภายหลัง อาจส่งผลต่อความเชื่อมั่นและความน่าเชื่อถือของแบรนด์ได้

วงจรแบบนี้คือขั้วตรงข้ามของคำว่ามีประสิทธิภาพ แต่มันคือ "ล้มอย่างช้าๆ และเจ็บอย่างหนัก"

Product Discovery: เฟรมเวิร์กเชิงกลยุทธ์เพื่อลดความเสี่ยงและพิสูจน์ความจริง

product discovery คือกระบวนการที่เป็นระบบและเน้นหลักฐานเชิงประจักษ์ ซึ่งถูกออกแบบมาเพื่อระบุ พิสูจน์ และลดความเสี่ยงของไอเดียโปรดักต์อย่างเต็มที่ ก่อนที่จะตัดสินใจทุ่มทรัพยากรเพื่อพัฒนามันในสเกลใหญ่ มันเปรียบเสมือนกรมธรรม์ประกันภัยที่สำคัญ โดยการบังคับให้เราตอบคำถามพื้นฐานเหล่านี้ให้ได้

  1. ปัญหานี้มีอยู่จริงและคุ้มค่าที่จะแก้ไหม? (Desirability)
  2. โซลูชันนี้เหมาะกับธุรกิจของเราหรือเปล่า? (Business Viability)
  3. เราสามารถสร้างและบำรุงรักษามันในทางเทคนิคได้จริงไหม? (Feasibility)
  4. คนจะใช้งานมันจริงๆ และรู้สึกว่ามันใช้งานง่ายไหม? (Usability)

ด้วยการค้นหาคำตอบเหล่านี้ตั้งแต่เนิ่นๆ product discovery จะช่วยให้แน่ใจว่าทรัพยากรจะถูกนำไปใช้กับปัญหาที่มีความต้องการในตลาดจริงๆ ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงลงได้มาก

Product Discovery ช่วยให้ "ล้มไว เจ็บน้อย" ได้อย่างไร

SPS-ProdDisc_FailFastCheap_01

คุณค่าแฝงของการทำ product discovery อย่างละเอียดคือความสามารถในการรองรับโมเดล "ล้มให้ไว เจ็บให้น้อย" แทนที่จะต้องรอสร้างแอปฯ หรือเว็บไซต์จนเสร็จเพื่อทดสอบสมมติฐาน product discovery จะใช้เทคนิคที่คล่องตัวแบบ Agile  เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดโดยใช้การลงทุนที่ต่ำ

วิจัยผู้ใช้ในช่วงเริ่มต้น

ทำการสัมภาษณ์และทำแบบสำรวจต้นทุนต่ำเพื่อทำความเข้าใจ pain point ของผู้ใช้ก่อนจะสร้างโซลูชันใดๆ ถ้าปัญหานั้นไม่มีอยู่จริง คุณก็ได้ "ล้มให้ไว" ตั้งแต่สมมติฐานหลักแล้ว

ทำตัวต้นแบบที่มีความละเอียดต่ำ (Low-Fidelity Prototyping)

สร้างภาพร่างคร่าวๆ ไวร์เฟรม หรือม็อกอัปที่คลิกได้ สิ่งเหล่านี้มีราคาถูกในการสร้าง และถูกยิ่งกว่าถ้าต้องทิ้งมันไปเมื่อฟีดแบ็กจากผู้ใช้งานออกมาในแง่ลบ

วางแผนและทดสอบสมมติฐาน

ลิสต์สมมติฐานที่เสี่ยงที่สุดออกมาให้ชัดเจน (เช่น โมเดลราคา) และออกแบบการทดลองเล็กๆ ที่เจาะจง (เช่น A/B Testing หรือหน้า landing page) เพื่อพิสูจน์หรือหักล้างสมมติฐานเหล่านั้นอย่างรวดเร็ว

กลยุทธ์ MVP ที่ผ่านการกลั่นกรอง

product discovery ช่วยเปลี่ยนแนวคิดเรื่อง MVP (minimum viable product) จากการเป็นโปรดักต์ที่เล็กที่สุดที่สร้างได้ มาเป็นโปรดักต์ที่เล็กที่สุดที่จำเป็นต้องมีเพื่อพิสูจน์ความต้องการของผู้ใช้และมูลค่าทางธุรกิจ ยิ่งความล้มเหลวเล็กเท่าไหร่ ต้นทุนก็ยิ่งต่ำเท่านั้น

พิสูจน์โมเดลธุรกิจ

ใช้เครื่องมืออย่าง business model canvas เพื่อทดสอบตรรกะทางการเงินของโปรดักต์บนกระดาษ เพื่อหาปัญหาเรื่องกำไรที่อาจเกิดขึ้น ก่อนที่จะเริ่มเขียนโค้ดแม้แต่บรรทัดเดียว


เมื่อไอเดีย ฟีเจอร์
หรือการดีไซน์พิสูจน์แล้วว่ามีข้อบกพร่อง product discovery จะให้หลักฐานที่จำเป็นในการตัดสินใจเปลี่ยนทิศทาง (pivot) ปรับปรุง หรือยกเลิกมันอย่างรวดเร็ว เพื่อไม่ให้มันกลายเป็นตัวดูดทรัพยากรราคาแพง

ผลตอบแทนที่ชัดเจน (ROI) จากการทำ Product Discovery

การใช้เวลาและแรงกายไปกับ product discovery ไม่ใช่เรื่องของการทำให้ช้าลง แต่มันคือการสร้างความเร็วที่ถูกต้องและสร้างแรงขับเคลื่อนที่มีประสิทธิภาพ ผลตอบแทนจากการลงทุน (ROI) ของขั้นตอน discovery นั้นชัดเจนและสำคัญมาก

  • ลดความเสี่ยง: ลดโอกาสสร้างของที่ไม่มีคนต้องการ หรือแอปฯ และเว็บฯ ที่ไปต่อไม่ไหว
  • ใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า: มั่นใจได้ว่าแรงกายแรงใจของทีมวิศวกรและดีไซน์เนอร์จะโฟกัสเฉพาะกับ โซลูชัน  ที่ส่งผลกระทบสูงและใช้งานได้จริงเท่านั้น
  • ออกโปรดักต์ (ที่ใช่) ได้เร็วกว่า: เพราะไม่ต้องเสียเวลาไปกับทางตัน ทำให้เราเจอเส้นทางสู่โปรดักต์ที่ใช่ได้เร็วกว่า
  • เพิ่มโอกาสทำกำไร: โปรดักต์ที่สร้างขึ้นจากความต้องการที่ผ่านการพิสูจน์แล้วและมีโมเดลธุรกิจที่ดี มีโอกาสประสบความสำเร็จในเชิงพาณิชย์และสร้างรายได้ที่สูงกว่ามาก
  • ทีมงานมีทักษะและแรงจูงใจ: ทีมงานจะประสบความสำเร็จเมื่อพวกเขารู้ว่างานที่ทำอย่างตั้งใจนั้นส่งผลโดยตรงต่อความสำเร็จของธุรกิจที่วัดผลได้

ในตลาดที่มีการแข่งขันสูงแบบนี้ เราไม่สามารถใช้แนวคิด "สร้างไปก่อนเดี๋ยวคนก็มาเอง" ได้อีกแล้ว ทางเลือกที่ฉลาดที่สุดคือการลงทุนใน product discovery อย่างละเอียด โดยใช้แนวทาง "ล้มให้ไว เจ็บให้น้อย" เป็นขั้นตอนที่จำเป็นสำหรับการสร้างธุรกิจดิจิทัลที่ประสบความสำเร็จและยั่งยืน


มีโปรเจกต์ที่กำลังอยากทำอยู่หรือเปล่า?
ลองให้เราช่วยสร้างเทคโนโลยีที่คุณต้องการจริงๆ
ปรึกษาเรา