บทความและข่าวสาร | Seven Peaks Insights

Data Center คืออะไร สำคัญกับธุรกิจต่างๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อย่างไร

ช่วงไม่กี่ปีมานี้บรรดาบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำของโลก ต่างประกาศการลงทุนในไทยรวมถึงประเทศอื่นๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ คิดเป็นเม็ดเงินรวมกันหลักหลายแสนล้านบาท เริ่มจาก Google ที่ลงทุนราว 36,000 ล้านบาท เพื่อสร้าง data center และ cloud region แห่งแรกในไทย และคาดว่าจะเปิดตัวในปี 2027 หรือ Amazon Web Services (AWS) ที่เตรียมสร้างดาต้าเซ็นเตอร์ในไทยมูลค่ากว่า 2 แสนล้านบาท ภายในปี 2037

นี่คือสัญญาณที่บ่งบอกต่อธุรกิจต่างๆ ในไทยและภูมิภาคอาเซียนว่า data center คือหนึ่งในโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญสำหรับการพัฒนาธุรกิจและองค์กรรูปแบบต่างๆ ให้เติบโตในยุคที่ทุกอย่างกลายเป็นดิจิทัล เพื่อให้คุณพร้อมสำหรับเทรนด์เทคโนโลยีที่กำลังเปลี่ยนโลกในหลายมิติให้แตกต่างไปจากเดิม Seven Peaks จะพาคุณไปทำความเข้าใจว่าดาต้าเซ็นเตอร์คืออะไร ทำไมหลายภาคส่วนถึงสนใจเรื่องนี้กันมากขึ้น

 

Data Center คืออะไร ทำไมบริษัทระดับโลกถึงหันมาลงทุนในไทยและอาเซียนมากขึ้น

data center หรือ "ศูนย์ข้อมูล" คือสถานที่ซึ่งออกแบบมาเพื่อจัดเก็บ, ประมวลผล, และจัดการข้อมูลดิจิทัลจำนวนมหาศาล โดยประกอบไปด้วยเซิร์ฟเวอร์, ระบบจัดเก็บข้อมูล, อุปกรณ์เครือข่าย เช่น สวิตช์, เราเตอร์, สายเคเบิล รวมถึงระบบสนับสนุนที่สำคัญ เช่น ระบบไฟฟ้าสำรอง (UPS), ระบบระบายความร้อน, ระบบควบคุมความชื้น, และระบบรักษาความปลอดภัยขั้นสูง (เช่น ระบบสแกนลายนิ้วมือ, การเฝ้าระวังตลอด 24 ชั่วโมง) เพื่อให้มั่นใจว่าข้อมูลจะถูกจัดเก็บอย่างปลอดภัย สามารถเข้าถึงได้ตลอดเวลา และระบบทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด

โดยหน้าที่หลักของ data center คือ

  • จัดเก็บข้อมูล: เก็บข้อมูลทุกประเภท ตั้งแต่ไฟล์เอกสาร รูปภาพ วิดีโอ ไปจนถึงฐานข้อมูลขนาดใหญ่ขององค์กร
  • ประมวลผลข้อมูล: ทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางในการประมวลผลคำสั่งต่างๆ ที่ส่งเข้ามาจากแอปพลิเคชันหรือบริการต่างๆ
  • ดูแลระบบเครือข่าย: เชื่อมต่อและจัดการการรับส่งข้อมูลระหว่างผู้ใช้กับเซิร์ฟเวอร์ และระหว่างเซิร์ฟเวอร์ด้วยกันเอง
  • รองรับการทำงานของแอปพลิเคชันและบริการ: เป็นโครงสร้างพื้นฐานเบื้องหลังที่ทำให้เว็บไซต์, แอปพลิเคชันบนมือถือ, บริการคลาวด์, การทำธุรกรรมออนไลน์ และอื่นๆ สามารถทำงานได้อย่างต่อเนื่องและมีประสิทธิภาพ

ถ้าพูดให้เข้าใจแบบง่ายๆ data center ก็คือ "สมอง" และ "หัวใจ" ของโลกดิจิทัล ที่เป็นแหล่งรวมข้อมูลและพลังประมวลผลที่จำเป็นสำหรับการทำงานของแอปพลิเคชัน เว็บไซต์ บริการคลาวด์ และทุกสิ่งที่เราใช้งานบนอินเทอร์เน็ตในชีวิตประจำวันนั่นเอง

Data Center มีกี่ประเภท มีข้อดีและข้อด้อยอย่างไร

ประเภทของ data center สามารถแบ่งออกได้หลายแบบ ขึ้นอยู่กับขนาด, ผู้เป็นเจ้าของ, และวัตถุประสงค์ในการใช้งานหลัก โดยทั่วไปแล้ว เราสามารถแบ่งได้เป็น 4 ประเภทหลักๆ ที่เข้าใจง่าย ดังนี้

Enterprise Data Center (ศูนย์ข้อมูลองค์กร/ส่วนตัว)

นี่คือ data center ที่บริษัทหรือองค์กรสร้างขึ้นมาเพื่อใช้งานเองภายในโดยเฉพาะ ซึ่งผู้เป็นเจ้าของจะเป็นผู้บริหารจัดการเองทั้งหมด และไม่ได้ให้บริการแก่องค์กรหรือบุคคลภายนอก

  • เหมาะกับใคร: องค์กรขนาดใหญ่ที่มีข้อมูลสำคัญและละเอียดอ่อนจำนวนมาก หรือมีความต้องการเฉพาะเจาะจงด้านการควบคุมความปลอดภัยและประสิทธิภาพ เช่น ธนาคาร, บริษัทโทรคมนาคมขนาดใหญ่, หน่วยงานรัฐบาล
  • ข้อดี: ควบคุมได้ทั้งหมด, ปรับแต่งได้ตามต้องการ, ความปลอดภัยสูง
  • ข้อเสีย: ใช้เงินลงทุนสูงมาก, ต้องมีทีมงานดูแลเอง

Managed Services Data Center (ศูนย์ข้อมูลที่บริหารจัดการโดยผู้ให้บริการ)

ต่อกันด้วย data center ที่ดำเนินการโดยผู้ให้บริการภายนอก ซึ่งเป็นเจ้าของอุปกรณ์และโครงสร้างพื้นฐานทั้งหมด และยังรับผิดชอบในการบริหารจัดการ, บำรุงรักษา, และดูแลระบบให้แก่ลูกค้าไปพร้อมกัน

  • เหมาะกับใคร: องค์กรที่ไม่ต้องการลงทุนหรือมีทีมงานดูแล data center เอง แต่ต้องการความเชี่ยวชาญและการดูแลจากผู้เชี่ยวชาญ
  • ข้อดี: ลดภาระการดูแล, ได้รับบริการจากผู้เชี่ยวชาญ, ลดต้นทุนการลงทุนเริ่มต้น
  • ข้อเสีย: ควบคุมได้น้อยกว่า data center ส่วนตัว, ค่าใช้จ่ายตามบริการที่ใช้

Colocation Data Center (ศูนย์รับฝากข้อมูล)

คือ data center ประเภทหนึ่งที่ผู้ให้บริการเป็นเจ้าของอาคาร, ระบบไฟฟ้า, ระบบทำความเย็น, และระบบรักษาความปลอดภัย แต่ลูกค้าจะเป็นคนที่นำเซิร์ฟเวอร์และอุปกรณ์เครือข่ายของตัวเองมาติดตั้งและดูแลเองภายในพื้นที่ที่เช่าเอาไว้

  • เหมาะกับใคร: องค์กรที่ต้องการประหยัดค่าใช้จ่ายในการสร้าง data center เอง แต่ยังต้องการควบคุมอุปกรณ์ของตัวเองอย่างเต็มที่ และต้องการพื้นที่ที่ปลอดภัย, มีไฟฟ้าและอินเทอร์เน็ตที่เสถียร
  • ข้อดี: ลดค่าใช้จ่ายโครงสร้างพื้นฐาน, ควบคุมอุปกรณ์ได้เอง, มีความยืดหยุ่นในการขยาย
  • ข้อเสีย: ยังต้องมีทีมงานดูแลอุปกรณ์ของตัวเอง, ต้องแบกรับค่าใช้จ่ายอุปกรณ์เอง

Cloud Data Center (ศูนย์ข้อมูลคลาวด์)

ปิดท้ายด้วย cloud data center ที่กำลังได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งให้บริการทรัพยากรด้านคอมพิวเตอร์ผ่านอินเทอร์เน็ตในรูปแบบของบริการคลาวด์ (เช่น Google Cloud, Amazon Web Services - AWS, Microsoft Azure) ผู้ใช้ไม่จำเป็นต้องเป็นเจ้าของหรือดูแลฮาร์ดแวร์ใดๆ เลย แค่เช่าใช้บริการตามความต้องการ

  • เหมาะกับใคร: องค์กรทุกขนาดที่ต้องการความยืดหยุ่นสูง, สามารถปรับเพิ่มลดทรัพยากรได้รวดเร็ว, และไม่ต้องการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานด้าน IT เลย
  • ข้อดี: ยืดหยุ่นสูงสุด, ปรับขนาดได้รวดเร็ว, ค่าใช้จ่ายตามการใช้งานจริง (Pay-as-you-go), ไม่ต้องดูแลฮาร์ดแวร์
  • ข้อเสีย: พึ่งพาผู้ให้บริการคลาวด์, ความปลอดภัยของข้อมูลขึ้นอยู่กับผู้ให้บริการ, อาจมีข้อจำกัดในการปรับแต่งบางอย่าง

Data Center Tier คืออะไร มีวิธีการแบ่งระดับอย่างไร

data center tier คือ ระบบการจัดระดับมาตรฐานของศูนย์ข้อมูล (data center) ที่พัฒนาโดย Uptime Institute ซึ่งเป็นองค์กรอิสระจากสหรัฐอเมริกา โดยมาตรฐานนี้ถูกนำมาใช้เพื่อประเมินและรับรองประสิทธิภาพ, ความน่าเชื่อถือ และความต่อเนื่องในการให้บริการของโครงสร้างพื้นฐานของดาต้าเซ็นเตอร์นั้นๆ

อาจกล่าวได้ว่า ยิ่งระดับ tier สูงเท่าไหร่ data center นั้นก็ยิ่งมีความพร้อมใช้งานสูงขึ้น รวมถึงมีระบบสำรองที่ซับซ้อนมากขึ้น และสามารถรับมือกับความผิดปกติหรือการหยุดทำงานได้ดีขึ้นเท่านั้น

ปัจจัยหลักที่ใช้ในการประเมินระดับ Tier

  • ระบบไฟฟ้า: มีแหล่งจ่ายไฟหลักกี่ทาง รวมถึงมีเครื่องกำเนิดไฟฟ้าสำรอง (generator) และระบบสำรองไฟฟ้า (UPS) หรือไม่
  • ระบบทำความเย็น: มีระบบทำความเย็นสำรองหรือเปล่า สามารถบำรุงรักษาได้โดยไม่ต้องหยุดระบบหรือไม่
  • การเชื่อมต่อเครือข่าย: มีเส้นทางเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตที่หลากหลายและสำรองหรือไม่
  • ความสามารถในการบำรุงรักษา: สามารถซ่อมบำรุงอุปกรณ์ต่างๆ โดยไม่กระทบต่อการทำงานของระบบโดยรวมได้หรือไม่
  • ความทนทานต่อความล้มเหลว: ระบบสามารถทำงานต่อไปได้แม้เกิดความเสียหายกับส่วนใดส่วนหนึ่งหรือไม่

การแบ่งระดับ Tier ของ Data Center 4 ระดับ

1. Data Center Tier I (Basic Capacity)

  • ลักษณะของดาต้าเซ็นเตอร์: เป็นระดับพื้นฐานที่สุด โดยมีโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็น เช่น เซิร์ฟเวอร์, ระบบทำความเย็น, และ UPS แต่ไม่มีระบบสำรอง (redundancy) และมีเส้นทางจ่ายไฟฟ้าและระบบทำความเย็นเพียงทางเดียว
  • การหยุดทำงาน (downtime): หากอุปกรณ์เสียหรือต้องบำรุงรักษา จะต้องหยุดระบบทั้งหมด
  • Uptime (เวลาที่ระบบทำงาน): ประมาณ 99.671% (สามารถหยุดทำงานได้สูงสุดประมาณ 28.8 ชั่วโมงต่อปี)
  • เหมาะสำหรับ: ธุรกิจขนาดเล็กที่ไม่ต้องการความพร้อมใช้งานสูงมาก และสามารถรับความเสี่ยงในการหยุดทำงานของฐานข้อมูลได้

2. Data Center Tier II (Redundant Capacity Components)

  • ลักษณะของดาต้าเซ็นเตอร์: มีโครงสร้างพื้นฐานคล้าย Tier I แต่มีการเพิ่มอุปกรณ์สำรองบางส่วน (redundant components) เช่น มี UPS และเครื่องปั่นไฟสำรองไว้บางส่วน แต่เส้นทางจ่ายไฟฟ้าและระบบทำความเย็นยังคงเป็นเส้นทางเดียว
  • การหยุดทำงาน (Downtime): สามารถทนต่ออุปกรณ์บางชิ้นที่เสียหายได้บ้าง แต่หากมีการบำรุงรักษาหรือเกิดปัญหาขึ้นกับเส้นทางหลัก ก็ยังต้องหยุดระบบเพื่อแก้ไขปัญหาอยู่ดี
  • Uptime: ประมาณ 99.741% (สามารถหยุดทำงานได้สูงสุดประมาณ 22 ชั่วโมงต่อปี)
  • เหมาะสำหรับ: ธุรกิจที่ต้องการความน่าเชื่อถือเพิ่มขึ้นจาก tier I แต่ยังรับความเสี่ยงในการหยุดทำงานได้ในบางช่วง

3. Data Center Tier III (Concurrently Maintainable)

  • ลักษณะของดาต้าเซ็นเตอร์: เป็นระดับที่ได้รับความนิยมมากที่สุด เพราะมีเส้นทางจ่ายไฟฟ้าและระบบทำความเย็นหลายเส้นทาง (multiple paths) และมีอุปกรณ์สำรอง (redundant components) สำหรับทุกส่วนประกอบที่สำคัญ
  • การหยุดทำงาน (Downtime): สามารถซ่อมบำรุงหรือเปลี่ยนอุปกรณ์ได้โดยไม่จำเป็นต้องปิดระบบ (no planned downtime) หากมีอุปกรณ์ตัวใดเสีย ก็จะมีอุปกรณ์อีกตัวที่สำรองไว้ทำงานแทนได้ทันที
  • Uptime: ประมาณ 99.982% (สามารถหยุดทำงานได้สูงสุดประมาณ 1.6 ชั่วโมงต่อปี)
  • เหมาะสำหรับ: ธุรกิจส่วนใหญ่ที่ต้องการความต่อเนื่องในการดำเนินงานสูง เช่น สถาบันการเงิน, E-commerce, และบริษัทโทรคมนาคม เป็นต้น

4. Data Center Tier IV (Fault Tolerant)

  • ลักษณะของดาต้าเซ็นเตอร์: เป็นระดับสูงสุดของ Data Center ซึ่งมีระบบสำรองที่สมบูรณ์แบบ (fully redundant) สำหรับทุกส่วนประกอบสำคัญ และมีเส้นทางจ่ายไฟฟ้าและระบบทำความเย็นที่แยกจากกันอย่างสิ้นเชิง (physical isolation)
  • การหยุดทำงาน (Downtime): ออกแบบมาเพื่อให้ทำงานต่อเนื่องได้แม้เกิดความล้มเหลวของอุปกรณ์หรือระบบใดๆ ก็ตาม (no single point of failure) โดยไม่มีการหยุดทำงานทั้งตามแผนและไม่ตามแผน
  • Uptime: ประมาณ 99.995% (สามารถหยุดทำงานได้สูงสุดประมาณ 26.3 นาทีต่อปี)
  • เหมาะสำหรับ: ธุรกิจที่ต้องการความพร้อมใช้งานสูงสุดแบบ "ห้ามหยุด" เช่น องค์กรที่มีภารกิจสำคัญระดับชาติ, ระบบการเงินที่สำคัญมาก, บริการฉุกเฉินขององค์กรหรือภาครัฐ

 

ทำไมบริษัทระดับโลกถึงหันมาลงทุนสร้าง Data Center ในไทยและอาเซียนมากขึ้น

การที่บริษัทเทคโนโลยีระดับโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่ม hyperscalers อย่าง Google, AWS, Microsoft, Alibaba Cloud และ TikTok หันมาลงทุน data center ในประเทศไทยและภูมิภาคอาเซียนจำนวนมาก มีหลายเหตุผลหลักที่สำคัญดังนี้

 

การเติบโตอย่างต่อเนื่องของเศรษฐกิจดิจิทัลและเทคโนโลยี

ตัวเลขล่าสุดจากองค์กรการเงินระหว่างประเทศ (IMF) คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จะเติบโตเฉลี่ยรวมกัน 4.5% ซึ่งการเติบโตของเศรษฐกิจในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ยังถือว่าเติบโตเป็นอันดับต้นๆ รองแค่ อินเดีย หรือ จีน เท่านั้น และคาดการณ์จากสถาบันการเงินต่างประเทศหลายแห่ง ยังมองว่าเศรษฐกิจในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จะเติบโตอย่างแข็งแกร่งในระยะยาวอีกด้วย

นอกจากนี้ ความต้องการของบรรดาธุรกิจต่างๆ ต่อการใช้ cloud computing, AI, และ IoT ที่พุ่งสูงขึ้นอย่างก้าวกระโดด ทั้งจากฝั่งผู้บริโภค ภาคธุรกิจ และภาครัฐบาลในภูมิภาคนี้  ล้วนเป็นตัวแปรที่ผลักดันให้ data center กลายเป็นโครงสร้างพื้นฐานสำคัญที่ขาดไม่ได้เลยในอนาคต

ศักยภาพของตลาดอาเซียนที่เต็มไปด้วยประชากรจำนวนมาก

คณะกรรมาธิการกรรมการเศรษฐกิจและสังคมแห่งสหประชาชาติสำหรับเอเชียและแปซิฟิก (ESCAP) คาดการณ์ในปี 2023 ว่าประชากรในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีประชากร 687 ล้านคน ถือเป็นตัวเลขจำนวนไม่น้อย จุดนี้เองที่ทำให้บริษัทเทคโนโลยีทั้งหลายต่างหันมาให้ความสนใจในการทำธุรกิจเพื่อรองรับการขยายตัวของประชากรในภูมิภาคนี้

นอกเหนือไปจากจำนวนผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ตในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่ล่าสุดมีตัวเลขมากถึง 400 ล้านคน แต่เมื่อพิจารณาในเรื่องอัตราการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตยังอยู่ที่ 67.1% เท่านั้น และในแต่ละวันมีผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ตเพิ่มขึ้นถึงวันละ 125,000 ราย ทำให้คาดว่าเศรษฐกิจดิจิทัลในอาเซียนจะเติบโตเพิ่มขึ้นอีก 1 ล้านล้านเหรียญสหรัฐภายใน 10 ปีข้างหน้า

ปริมาณการใช้งานอินเทอร์เน็ตในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จากผู้ใช้งานยังถือว่าเติบโตต่อเนื่อง ตัวเลขในปี 2023 นั้นปริมาณการใช้ดาต้าต่อเครื่องในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อยู่ที่ 17 Gb และคาดว่าภายในปี 2030 จะเติบโตถึง 42 Gb ต่อเครื่อง เติบโตเฉลี่ย 16% ต่อปี

กฎหมายและเทรนด์ความต้องการเก็บข้อมูลภายในประเทศมากขึ้น

กฎหมายด้านอธิปไตยของข้อมูล (data sovereignty) ต้องการให้มีการตั้ง data center ภายในประเทศเพิ่มมากขึ้น ทำให้เกิดความมั่นใจว่าจะสอดคล้องกับกฎหมายของประเทศนั้นๆ เช่น กรณีของอินโดนีเซีย ที่มีกฎหมายออกมาในปี 2022 เพื่อต้องการเก็บข้อมูลของชาวอินโดนีเซียในประเทศ หรือประเทศอื่นที่มีการใช้กฎหมายดังกล่าว เช่น เวียดนาม มาเลเซีย เป็นต้น และกฎหมายดังกล่าวได้ทยอยออกมาเพิ่มขึ้นในหลายประเทศ

ขณะเดียวกันความต้องการที่จะเก็บข้อมูลภายในประเทศเพิ่มมากขึ้น (data localization) เนื่องจากความรวดเร็วของการส่งข้อมูลที่มากกว่าการเก็บข้อมูลไว้ในต่างประเทศ หรือแม้แต่ในเรื่องของความหน่วง (Latency) ซึ่งสำคัญสำหรับธุรกิจด้านการเงิน บริการเกม ฯลฯ

ปัจจัยข้างต้นจึงเป็นโอกาสของบริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่ในการเข้าถึงผู้ประกอบการ หรือแม้แต่โอกาสใหม่ๆ ทำให้มีเม็ดเงินรวมกันในระดับหลายแสนล้านบาทเข้ามาลงทุนหลายประเทศ ไม่ว่าจะเป็น สิงคโปร์ มาเลเซีย อินโดนีเซีย หรือแม้แต่ประเทศไทย นั่นเอง

ปัจจัยเชิงกลยุทธ์ของประเทศไทย และประเทศอื่นๆ ในอาเซียน

ด้วยความที่ประเทศไทยตั้งอยู่ในจุดยุทธศาสตร์ของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จึงสามารถเชื่อมต่อโครงข่ายข้อมูลกับประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคได้อย่างมีประสิทธิภาพ อีกทั้งโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลที่แข็งแกร่งขึ้น ซึ่งทางรัฐบาลไทยได้ลงทุนในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลอย่างต่อเนื่อง ทั้งเครือข่ายอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง, 5G, และการเชื่อมต่อสายเคเบิลใต้น้ำ ก็ยังสำคัญสำหรับการดำเนินธุรกิจ data center อีกด้วย

ด้วยความที่ประเทศไทยมีความเสี่ยงต่อการเกิดภัยธรรมชาติที่ค่อนข้างต่ำ เมื่อเทียบกับบางประเทศในภูมิภาค ยังถือเป็นปัจจัยสำคัญที่บริษัทเทคโนโลยีชั้นนำของโลกใช้ในการตัดสินใจเลือกที่ตั้ง data center แห่งใหม่ เพื่อการให้บริการกับลูกค้าในภูมิอาเซียนได้อย่างต่อเนื่อง

นอกจากนี้ รัฐบาลไทยเองยังมีนโยบายและมาตรการส่งเสริมการลงทุน เช่น จาก BOI เพื่อดึงดูดบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่เข้ามาลงทุน โดยเล็งเห็นถึงประโยชน์ที่จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจดิจิทัล สร้างงาน และยกระดับขีดความสามารถด้านเทคโนโลยีของประเทศ

อีกทั้งในเรื่องของต้นทุนพลังงาน เช่น ค่าไฟฟ้าที่ค่อนข้างต่ำกว่า ตลอดจนการเข้าถึงแหล่งน้ำจำนวนมหาศาลได้อย่างสม่ำเสมอตลอดทั้งปี บวกกับเรื่องของแรงงานที่มีทักษะด้านไอทีในประเทศไทยและอาเซียนที่อยู่ในระดับที่น่าสนใจ ยังเป็นปัจจัยสำคัญที่เอื้อต่อการลงทุนสร้างดาต้าเซ็นเตอร์อีกด้วย

เพิ่มโอกาสทางธุรกิจด้วยการใช้งาน Data Center ที่เหมาะสม

การทำความเข้าใจและเลือกใช้ดาต้าเซ็นเตอร์ที่เหมาะสม ถือเป็นกุญแจสำคัญที่ช่วยปลดล็อกศักยภาพทางธุรกิจของคุณ จริงอยู่ที่การตัดสินใจลงทุนหรือเลือกใช้บริการ data center นั้นไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะสิ่งนี้เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีที่ซับซ้อนและงบประมาณจำนวนมาก ที่ต้องใช้เพื่อโยกย้ายหรือสร้างโครงสร้างพื้นฐานทางข้อมูลสำหรับรองรับการขยายตัวของธุรกิจคุณ

หากคุณกำลังมองหาคำแนะนำ หรือไม่แน่ใจว่าโซลูชัน data center แบบใดที่จะตอบโจทย์ความต้องการและเป้าหมายทางธุรกิจของคุณในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้ดีที่สุด Seven Peaks มีความเชี่ยวชาญในด้านนี้ เราพร้อมให้คำปรึกษาและช่วยคุณวางแผนกลยุทธ์ด้านดาต้าเซ็นเตอร์ที่เหมาะสม ตั้งแต่บริการวิเคราะห์ข้อมูล หรือค้นหาความต้องการไปจนถึงการนำไปใช้งานจริง เพื่อให้ธุรกิจของคุณเติบโตได้อย่างมั่นคงในยุคดิจิทัล ปรึกษาเราตอนนี้