บทความและข่าวสาร | Seven Peaks Insights

ปัจจัยใดบ้างที่มีผลต่อราคาน้ำมันดิบ ทำไมเทคโนโลยีคือทางรอดเดียวในการคุมต้นทุนการผลิตน้ำมันและก๊าซ

panoramic-shot-oil-rigs-sea-with-beautiful-sunset

ในยุคที่ราคาน้ำมันดิบพร้อมพุ่งขึ้นและดิ่งลงได้ตลอดเวลา สิ่งนี้ได้สร้างแรงกดดันมหาศาลให้กับนักลงทุนและผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมน้ำมันและก๊าซ แต่ในเมื่อเราไม่สามารถควบคุมปัจจัยภายนอกอย่างกลไกราคาตลาดโลกได้ ทางออกเดียวที่จะทำให้ธุรกิจยืนหยัดอยู่อย่างมั่นคงคือการเปลี่ยนมุมมอง หันกลับมาโฟกัสสิ่งที่เราควบคุมได้เบ็ดเสร็จ นั่นคือการบริหารจัดการต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพภายในองค์กร เพื่อรับมือกับความเสี่ยงที่ไม่อาจคาดเดาได้

นี่จึงเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้เทคโนโลยีล้ำสมัยอย่าง AI และ IoT ไม่ได้เป็นเพียงทางเลือก แต่กลายเป็นหนึ่งในทางรอดสำหรับธุรกิจยุคใหม่ การนำนวัตกรรมเหล่านี้เข้ามาพลิกโฉมกระบวนการผลิต ตั้งแต่การคาดการณ์การซ่อมบำรุงเครื่องจักรไปจนถึงการเพิ่มประสิทธิภาพการขุดเจาะ จะช่วยลดค่าใช้จ่ายและยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขัน ช่วยให้ธุรกิจ oil & gas สามารถทำกำไรและเติบโตได้อย่างยั่งยืนท่ามกลางพายุแห่งความเปลี่ยนแปลงนี้

Seven Peaks จะพาคุณไปทำความเข้าใจมากขึ้นถึงปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับราคาน้ำมันโลก และไปดูว่าอะไรที่จะช่วยให้ธุรกิจน้ำมันและก๊าซธรรมชาติสามารถเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิต และสนับสนุนให้พนักงานใช้เวลาไปกับกิจกรรมที่มีคุณค่าต่อองค์กรมากกว่า

เจาะลึกว่าปัจจัยใดบ้างที่มีผลต่อราคาน้ำมันดิบในเวทีโลก

เวลาที่คุณขับรถเข้าไปเติมน้ำมัน เคยสงสัยไหมว่าทำไมน้ำมันแพง คำตอบไม่ได้อยู่ที่ปั๊มน้ำมันหน้าปากซอย แต่อยู่ที่กลไกราคาน้ำมันระดับโลกที่มีความซับซ้อน หากเรามองทะลุความผันผวนเข้าไป เราจะพบว่าแท้จริงแล้วมี 3 ตัวแปรหลักที่เป็นผู้กำหนดชะตากรรมของราคาพลังงานโลก ดังนี้

1. อุปสงค์และอุปทานของน้ำมันในช่วงเวลานั้น

นี่คือกฎเหล็กทางเศรษฐศาสตร์ที่เป็นพื้นฐานของกลไกราคาน้ำมัน เปรียบเสมือนตาชั่งวัดความต้องการ

  • ฝั่งความต้องการ (demand): เมื่อเศรษฐกิจโลกฟื้นตัว โรงงานเดินเครื่องเต็มกำลัง หรือเข้าสู่ฤดูหนาว ความต้องการใช้พลังงานจะพุ่งสูงขึ้น
  • ฝั่งผู้ผลิต (supply): หากกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมันรายใหญ่ (OPEC+) ตัดสินใจลดกำลังการผลิต สวนทางกับความต้องการ ของมีน้อยแต่คนแย่งกันซื้อ ราคาก็จะดีดตัวขึ้นทันที

2. ภูมิรัฐศาสตร์ซึ่งซับซ้อนกว่าที่คิด

สงครามและความขัดแย้งไม่ใช่แค่เรื่องการเมือง แต่เป็นตัวแปรที่คาดเดายากที่สุดที่เขย่าตลาดพลังงาน โดยหน่วยงานสถิติและวิเคราะห์พลังงานของรัฐบาลสหรัฐฯ (EIA) เปิดเผยว่า ความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจและการเมือง เป็นปัจจัยหลักที่ทำให้ราคาน้ำมันผันผวนอย่างรุนแรงในปีที่ผ่านมา นอกจากนี้ยังมีเหตุผลเช่น

  • ความตึงเครียดในพื้นที่ยุทธศาสตร์ เช่น ตะวันออกกลางหรือยุโรปตะวันออก ส่งผลกระทบโดยตรงต่อความมั่นคงทางพลังงาน
  • เมื่อมีความเสี่ยงว่าการผลิตหรือการขนส่งน้ำมันจะหยุดชะงัก ตลาดจะเกิดความตื่นตระหนกและมีการเก็งกำไร ซึ่งเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้ราคาน้ำมันพุ่งสูงขึ้นเพียงชั่วข้ามคืน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่คาดว่าจะมีสงครามระหว่างประเทศเกิดขึ้น

3. เทรนด์การเปลี่ยนไปใช้พลังงานสะอาด

นี่คือปัจจัยใหม่ที่กำลังมีอิทธิพลสูงมาก และเป็นส่วนสำคัญของคำตอบว่าปัจจัยใดบ้างที่มีผลต่อราคาน้ำมันดิบในยุคปัจจุบัน

  • นโยบายลดโลกร้อนและกระแส ESG (environmental, social, และ governance) ทำให้นักลงทุนทั่วโลกชะลอการลงทุนในโครงการสำรวจและขุดเจาะเชื้อเพลิงฟอสซิลใหม่ๆ
  • ผลที่ตามมาคือ เมื่อแหล่งน้ำมันเดิมเริ่มหมดไป แต่แหล่งใหม่ไม่ได้ถูกพัฒนาเพิ่ม ทำให้ปริมาณน้ำมันสำรองในระยะยาวเริ่มตึงตัว สวนทางกับความต้องการใช้ที่ยังคงมีอยู่ จึงกลายเป็นแรงกดดันทางด้านราคาที่ไม่สามารถมองข้ามได้

ไขข้อสงสัยทำไมน้ำมันแพง? เจาะลึกกลไกราคาน้ำมันในไทย ที่ไม่ได้ขึ้นอยู่กับแค่ราคาตลาดโลก

เมื่อพูดถึงราคาพลังงาน คำถามยอดฮิตที่ผู้บริโภคและภาคธุรกิจในไทยถามกันมากที่สุดคือ ทำไมน้ำมันแพง ทั้งที่ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกบางช่วงอาจปรับตัวลง สาเหตุนั้นเป็นเพราะโครงสร้างราคาน้ำมันสำเร็จรูปในประเทศไทยมีความซับซ้อน และประกอบไปด้วยต้นทุนหลายส่วนที่มากกว่าแค่เนื้อน้ำมัน

เพื่อให้เห็นภาพชัดเจน เราต้องเข้าใจกลไกราคาน้ำมันในประเทศไทยเสียก่อน ซึ่งประกอบด้วย 4 ส่วนหลัก ดังนี้

  1. ต้นทุนเนื้อน้ำมัน: คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 40-60% ของราคาขายปลีก นี่คือต้นทุนราคาน้ำมันดิบรวมค่าการกลั่น ซึ่งไทยอ้างอิงราคาจากตลาดสิงคโปร์ (ตลาดกลางของภูมิภาค) ไม่ใช่ราคาน้ำมันดิบดูไบหรือเวสต์เท็กซัสโดยตรง เพื่อสะท้อนต้นทุนการแข่งขันที่แท้จริง
  2. ภาษีต่างๆ: ถือเป็นสัดส่วนที่สูงมาก ประกอบด้วย ภาษีสรรพสามิต (เก็บสูงที่สุด), ภาษีเทศบาล, และภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ซึ่งภาครัฐใช้เป็นรายได้ในการพัฒนาประเทศ
  3. เงินกองทุน): คือเครื่องมือสำคัญของภาครัฐในการรักษาเสถียรภาพราคา ประกอบด้วยกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง และกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ในยามที่ราคาตลาดโลกพุ่งสูง เงินส่วนนี้จะถูกนำมาช่วยอุดหนุนเพื่อตรึงราคาไม่ให้กระทบประชาชนมากเกินไป แต่ในยามปกติ ก็ต้องเก็บเงินสมทบเข้ากองทุนเพื่อใช้หนี้หรือสำรองไว้
  4. ค่าการตลาด: คือรายได้ของผู้ประกอบการสถานีบริการน้ำมัน สำหรับเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน ค่าขนส่ง ค่าพนักงาน และกำไรธุรกิจ ซึ่งภาครัฐจะขอความร่วมมือให้ดูแลให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม

ดังนั้น คำตอบของทำไมน้ำมันแพงจึงไม่ได้อยู่ที่ราคาตลาดโลกเพียงอย่างเดียว แต่ยังขึ้นอยู่กับนโยบายการเก็บภาษีและการบริหารจัดการกองทุนน้ำมันในขณะนั้นด้วย

สำหรับภาคธุรกิจ แม้เราจะไม่สามารถควบคุมกลไกราคาน้ำมันหรือภาษีเหล่านี้ได้ แต่สิ่งที่เราควบคุมได้ 100% คือประสิทธิภาพการใช้งานและการผลิต ผ่านการนำเทคโนโลยีมาปรับใช้เพื่อลดความสูญเสียภายในองค์กรนั่นเอง

ต้นทุนแฝงจากการผลิตน้ำมันและก๊าซด้วยมนุษย์และเครื่องจักรแบบเดิม

ในขณะที่เราไม่สามารถสั่งให้ราคาน้ำมันในตลาดโลกหยุดผันผวนได้ สิ่งเดียวที่ธุรกิจทำได้คือการหันกลับมามองบ้านของตัวเองว่ามีรอยรั่วตรงไหนบ้าง

โมเดลการผลิตแบบดั้งเดิมที่พึ่งพาความเชี่ยวชาญของมนุษย์ + เครื่องจักรระบบเก่า อาจเคยเป็นมาตรฐานที่ดีในอดีต แต่ในยุคที่ทุกวินาทีคือต้นทุน ระบบเดิมเหล่านี้กลับกลายเป็นตัวการสำคัญที่สร้างต้นทุนแฝง (hidden costs) มหาศาล ซึ่งกัดกินกำไรของบริษัทไปอย่างเงียบๆ โดยที่เราไม่รู้ตัว

เมื่อประสบการณ์ของเราอาจพ่ายแพ้ต่อความแม่นยำของข้อมูลที่มาจากอุปกรณ์ IoT

แม้ประสบการณ์ของวิศวกรหน้างาน (driller) จะเป็นสิ่งล้ำค่า แต่เราปฏิเสธไม่ได้ว่ามนุษย์มีข้อจำกัดทางกายภาพ ไม่ว่าจะเป็นความเหนื่อยล้า ความเครียด หรือข้อจำกัดในการประมวลผลข้อมูลจำนวนมหาศาลพร้อมกัน

  • ความไม่สม่ำเสมอ: การตัดสินใจปรับหัวเจาะหรือคุมเครื่องจักรโดยใช้สัญชาตญาณ มักทำให้ผลลัพธ์การทำงานแต่ละกะไม่เท่ากัน
  • ความผิดพลาด: เพียงเสี้ยววินาทีที่ตัดสินใจพลาด อาจนำไปสู่อุบัติเหตุหรือความเสียหายของอุปกรณ์ ซึ่งไม่ใช่แค่เรื่องเงิน แต่หมายถึงความปลอดภัยของชีวิต
  • ความล่าช้า: การรอให้คนสังเกตเห็นความผิดปกติด้วยตาเปล่า มักจะช้าเกินกว่าจะแก้ไขปัญหาได้ทันท่วงที

ต้นทุนแฝงจากการหยุดชะงัก (Downtime) ที่ก่อให้เกิดการเสียเงินโดยใช่เหตุ

ฝันร้ายที่สุดของผู้ประกอบการ Oil & Gas ไม่ใช่ราคาน้ำมันตก แต่คือการที่แท่นขุดเจาะหยุดทำงาน และต่อจากนี้คือสิ่งที่เราจะอธิบายต่อไปว่าทำไมถึงเป็นแบบนั้น

  • NPT (Non-Productive Time): คือเวลาที่ไม่ก่อให้เกิดผลผลิต เช่น การที่หัวเจาะพังคาหลุม หรือเครื่องจักรเสียกะทันหัน ซึ่งในระบบเดิมมักเป็นการซ่อมแบบวัวหายล้อมคอก (reactive maintenance) คือรอให้พังก่อนค่อยซ่อม
  • ค่าเสียโอกาสมหาศาล: การหยุดชะงักเพียงไม่กี่ชั่วโมง อาจหมายถึงค่าเช่าแท่นเจาะ และค่าจ้างทีมงานหลายล้านบาทที่สูญเปล่า นี่คือรูรั่วทางการเงินขนาดใหญ่ที่เกิดจากการขาดเทคโนโลยีในการคาดการณ์ล่วงหน้า และเป็นจุดตัดสำคัญที่ชี้วัดว่าบริษัทจะทำกำไรหรือขาดทุนในโครงการนั้นๆ

พลิกโฉมธุรกิจ Oil & Gas ด้วย AI และ Technology ที่เป็นกุญแจสู่การลดต้นทุนและเพิ่มกำไรอย่างยั่งยืน

เมื่อวิธีการแบบเดิมๆ เริ่มมาถึงทางตัน ทางรอดเดียวที่จะทำให้ธุรกิจ oil & gas สามารถรักษาอัตรากำไร ท่ามกลางความผันผวนของราคาตลาดโลกได้ คือการนำเทคโนโลยีเข้ามาเป็นหัวใจหลักในการขับเคลื่อนองค์กร การผสานพลังระหว่าง AI และ IoT ไม่ใช่เรื่องไกลตัวอีกต่อไป แต่มันคือเครื่องมือทรงพลังที่ช่วยเปลี่ยนความสูญเสียให้กลายเป็นผลกำไร ผ่านโซลูชันอัจฉริยะดังต่อไปนี้

1. Predictive Analytics เพื่อยกระดับจากการซ่อมบำรุงสู่การสร้างความได้เปรียบในซัพพลายเชน

นอกเหนือจากการใช้ IoT และ AI เพื่อทำนายการซ่อมบำรุงเครื่องจักรแล้ว เทคโนโลยี predictive analytics ยังคือกุญแจสำคัญที่เข้ามาปฏิวัติกระบวนการทำงานใน ห่วงโซ่อุปทาน (supply chain) ทั้งระบบให้เป็นอัตโนมัติและลื่นไหล ซึ่งสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันอย่างมหาศาล

การนำ AI และ machine learning (ML) มาวิเคราะห์ข้อมูลทั้งในอดีตและแบบเรียลไทม์ ช่วยให้ธุรกิจสามารถมองเห็นอนาคตและตอบสนองได้รวดเร็วยิ่งขึ้นใน 3 ด้านหลัก

  • พยากรณ์และบริหารจัดการสินค้า

ระบบสามารถทำนายความต้องการใช้น้ำมันในแต่ละพื้นที่ แต่ละประเภทเชื้อเพลิง ได้อย่างแม่นยำ ช่วยให้วางแผนการขนส่งและจัดการสต็อกสินค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ ลดระยะเวลาการขนถ่ายสินค้า และลดต้นทุนการถือครองสินค้าที่ไม่จำเป็น

  • กลยุทธ์ด้านราคาแบบเรียลไทม์

AI ช่วยให้ผู้ค้าปลีกสามารถปรับเปลี่ยนราคาน้ำมันได้ทันทีตามสภาวะตลาด การเคลื่อนไหวของคู่แข่ง และพฤติกรรมลูกค้า ซึ่งกรณีศึกษาชี้ให้เห็นว่าการตัดสินใจด้วยข้อมูลนี้สามารถ เพิ่มส่วนต่างกำไรได้สูงถึง 3 เซนต์ต่อแกลลอน ในบางกลุ่มธุรกิจ

  • การลดความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น

ด้วยการทำ predictive analytics ที่ครอบคลุมทุกเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการผลิตน้ำมันและก๊าซ สามารถคาดการณ์แนวโน้มการหยุดชะงักของซัพพลายเชนล่วงหน้า พร้อมแนะนำมาตรการรับมือได้ทันท่วงที และเมื่อมีการทำ predictive maintanance ก็ยิ่งช่วยลดความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นได้อีกด้วย

2. Automated Drilling Optimization (ADO) ทำงานต่อเนื่องอย่างปลอดภัย และมีประสิทธิภาพสูง

ในขณะที่มนุษย์อาจตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงของชั้นหินได้ช้าหรือมีความเหนื่อยล้า ระบบ ADO จะทำหน้าที่เหมือนนักบินผู้ช่วยที่ตื่นตัวตลอด 24 ชั่วโมง โดยระบบจะทำการวิเคราะห์ข้อมูลจากเซ็นเซอร์ก้นหลุมแบบเรียลไทม์ เพื่อคำนวณและสั่งการปรับค่าพารามิเตอร์ที่ซับซ้อนและสัมพันธ์กันอย่าง แรงกดหัวเจาะ (WOB - weight on bit) และ ความเร็วรอบ (RPM) โดยอัตโนมัติในระดับวินาทีต่อวินาที

เป้าหมายคือการค้นหาจุดสมดุลที่ดีที่สุด (sweet spot) หรือจุดที่ใช้พลังงานคุ้มค่าที่สุดในการเจาะหินชั้นนั้นๆ โดยหลีกเลี่ยงปัญหาทางเทคนิค เช่น การสั่นสะเทือนรุนแรง หรืออาการหัวเจาะติดขัด และแน่นอนว่าผลลัพธ์ที่ได้จากการใช้ ADO มีดังนี้

  • เจาะได้รวดเร็วขึ้น

เมื่อเครื่องจักรทำงานในจุดที่เหมาะสมที่สุดตลอดเวลา อัตราการเจาะจึงเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ลดเวลาเช่าแท่นเจาะที่มีราคาสูงลิ่วให้ประหยัดงบประมาณได้มากขึ้น

  • ยืดอายุการใช้งานของหัวเจาะ

การควบคุมที่นุ่มนวลและแม่นยำช่วยลดการกระแทกและการสึกหรอของหัวเจาะ ทำให้สามารถเจาะได้ระยะทางไกลขึ้นต่อหัวเจาะหนึ่งลูก ลดความถี่ในการหยุดงานเพื่อดึงก้านเจาะขึ้นมาเปลี่ยนหัว (tripping) ซึ่งช่วยประหยัดทั้งเงินและเวลาได้มหาศาล

  • เพิ่มความปลอดภัยในการทำงาน

ลดความเสี่ยงจาก human error และช่วยให้วิศวกรโฟกัสกับการควบคุมดูแลภาพรวมความปลอดภัยแทนการจดจ่อกับการบังคับเครื่องจักรเพียงอย่างเดียว

3. Data-Driven Decision Making มาเปลี่ยนข้อมูลมหาศาลให้เป็นเข็มทิศทางธุรกิจ

ธุรกิจที่มีมูลค่าการลงทุนสูงอย่างน้ำมันและก๊าซไม่สามารถอาศัยเพียงสัญชาตญาณได้อีกต่อไป เพราะถือเป็นเรื่องที่มีความเสี่ยงสูงสุดที่อาจทำให้สูญเสียทรัพยากรอันมีค่าไปอย่างน่าเสียดาย แต่ก็ยังมีทางเลือกที่น่าสนใจ อย่างการนำเทคโนโลยีสมัยใหม่เข้ามาใช้รวบรวม big data จากทุกแหล่งที่กระจัดกระจายกันอยู่ ตั้งแต่เซ็นเซอร์ก้นหลุมเจาะลึกหลายพันเมตร (OT data) ไปจนถึงข้อมูลทางการเงินในสำนักงานใหญ่ (IT data) จากนั้นนำทุกข้อมูลที่มีมาปรับใช้และแสดงผลรวมกันไว้บนแดชบอร์ดเดียว

แน่นอนว่าการทำเช่นนี้ไม่ใช่แค่การสร้างกราฟให้ออกมาดูสวยงามและเข้าใจง่ายเพียงอย่างเดียว แต่คือการสร้างแหล่งข้อมูลความจริงเพียงหนึ่งเดียวให้ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในองค์กรได้นำไปใช้อ้างอิง นอกจากนี้ ประโยชน์ที่จะได้รับจากการตัดสินใจด้วยการพิจารณานจากข้อมูลมีดังนี้

  • ความโปร่งใสที่ตรวจสอบได้

ผู้บริหารและทีมงานทุกฝ่ายมองเห็นภาพรวมสถานะของโครงการเดียวกัน ลดปัญหาข้อมูลไม่ตรงกันระหว่างแผนก ทำให้เห็นปัญหาที่ซ่อนอยู่ (bottlenecks) ได้ทันที

  • ความรวดเร็วในการแก้ไขปัญหาที่คาดไม่ถึง

เมื่อข้อมูลเป็นแบบ real-time ผู้ตัดสินใจไม่ต้องรอรายงานสรุปปลายเดือน แต่สามารถเห็นความผิดปกติและสั่งการแก้ไข หรือปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ตามราคาน้ำมันในตลาดโลกได้ทันท่วงที

  • ความแม่นยำเชิงกลยุทธ์

การตัดสินใจจะอยู่บนพื้นฐานของตัวเลขและสถิติที่พิสูจน์ได้ ไม่ใช่สมมติฐาน ช่วยลดความเสี่ยงในการลงทุนที่ผิดพลาด และสามารถคาดการณ์ผลกำไร (ROI) ของแต่ละโครงการได้อย่างแม่นยำยิ่งขึ้น

Seven Peaks พร้อมช่วยคุณเปลี่ยนผ่านสู่ Digital Oilfield

การก้าวเข้าสู่ยุค digital oilfield ไม่ใช่เพียงแค่การซื้อซอฟต์แวร์มาติดตั้ง แต่คือการปฏิรูปกระบวนการทำงานให้เชื่อมโยงกันทั้งระบบ ที่ Seven Peaks เราเข้าใจถึงความซับซ้อนและมาตรฐานความปลอดภัยที่เข้มงวดของธุรกิจพลังงานเป็นอย่างดี

เราไม่ใช่แค่ผู้พัฒนาซอฟต์แวร์ แต่คือพาร์ตเนอร์ผู้เชี่ยวชาญการทำ digital transformation ที่พร้อมทำงานร่วมกับคุณเพื่อออกแบบและพัฒนาโซลูชันที่ตอบโจทย์เฉพาะทาง ไม่ว่าจะเป็น

  • Intelligent Apps: พัฒนาแอปพลิเคชันสำหรับวิศวกรหน้างานที่ใช้งานง่าย (user-friendly) เพื่อการบันทึกและติดตามงานที่แม่นยำ
  • IoT Platform Integration: เชื่อมต่อเซ็นเซอร์จากแท่นขุดเจาะเข้าสู่ระบบ cloud เพื่อการติดตามผลแบบเรียลไทม์
  • Custom AI Solutions: สร้างโมเดลปัญญาประดิษฐ์เพื่อวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกและทำนายแนวโน้ม (predictive analytics) ที่แม่นยำที่สุดสำหรับธุรกิจคุณ

แม้เราจะไม่มีทางกำหนดปัจจัยใดบ้างที่มีผลต่อราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกได้ แต่สิ่งที่เราสามารถกำหนดได้ 100% คือต้นทุนและประสิทธิภาพภายในองค์กรของเราเองด้วยพลังของเทคโนโลยี

อย่าปล่อยให้ความผันผวนของตลาดเป็นผู้กุมชะตาชีวิตของบริษัทคุณ ถึงเวลาแล้วที่จะสร้างเกราะป้องกันทางธุรกิจที่แข็งแกร่งด้วยนวัตกรรมที่เหนือกว่า ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญจาก Seven Peaks วันนี้ เพื่อเริ่มต้นวางกลยุทธ์และสร้างสรรค์โซลูชันที่จะช่วยให้คุณลดต้นทุน เพิ่มกำไร และเติบโตได้อย่างยั่งยืนในยุคดิจิทัล


เห็นผลงานของเราแล้วสนใจใช่ไหม?
เราจะช่วยสร้างเทคโนโลยีที่จำเป็นต้องใช้ให้คุณ
ติดต่อเรา