บทความและข่าวสาร | Seven Peaks Insights

InsurTech คืออะไร มีความสำคัญต่อธุรกิจประกันภัยและผู้บริโภคแค่ไหนในยุคนี้

ในโลกที่ทุกอย่างขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยี “InsurTech” คืออีกหนึ่งเทคโนโลยีที่เกิดขึ้นมาและเป็นที่พูดถึงทั้งในและนอกแวดวงธุรกิจประกันภัย วันนี้เราจึงอยากชวนคุณมาทำความเข้าใจเกี่ยวกับสิ่งนี้ว่ามันคืออะไร ทำไมถึงสำคัญ และก่อให้เกิดประโยชน์อะไรบ้าง ทั้งในฝั่งของผู้ประกอบธุรกิจประกันภัยและผู้บริโภค เพื่อที่จะนำไอเดียเหล่านี้มาปรับใช้กับธุรกิจของคุณได้

InsurTech คืออะไร

InsurTech มาจากการรวมตัวของคำว่า insurance และ technology ซึ่งแปลเป็นไทยได้ตรงๆ ง่ายๆ ว่า “เทคโนโลยีประกันภัย” โดยเป็นการนำเอาความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีดิจิทัลมาพัฒนาธุรกิจประกันภัยทั้งในแง่ของการเพิ่มประสิทธิภาพในการให้บริการและลดต้นทุนนั่นเอง ซึ่ง InsurTech นั้นถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของ FinTech หรือเทคโนโลยีทางการเงิน ดังที่เรากล่าวถึงไปในบทความนี้ และเป็นอีกรูปแบบหนึ่งของ digital transformation ที่กำลังปรับเปลี่ยนธุรกิจประกันภัยให้สอดคล้องกับวิถีชีวิตยุคใหม่

ประโยชน์ของการนำ InsurTech ไปใช้กับธุรกิจประกันภัย

InsurTech ก่อให้เกิดประโยชน์มากมายทั้งต่อธุรกิจประกันภัยและผู้บริโภค เช่น

  • ลูกค้าสามารถเลือกซื้อประกันภัยได้สะดวกจากทุกที่ทุกเวลาผ่านช่องทางออนไลน์ และสามารถทำดำเนินการซื้อประกันเสร็จสิ้นอย่างรวดเร็ว โดยไม่ต้องติดต่อตัวแทนประกันภัยเหมือนในสมัยก่อน
  • บริษัทประกันมีระบบที่ช่วยวิเคราะห์ข้อมูลลูกค้า เพื่อให้คำแนะนำในการเลือกผลิตภัณฑ์ประกันภัยแบบ personalized ซึ่งมีความตรงใจ ครอบคลุมความต้องการ และเหมาะสมกับลูกค้าแต่ละรายได้มากกว่าเดิม
  • บริษัทสามารถคำนวณเบี้ยประกันที่เหมาะสมกับลูกค้าแต่ละราย ผ่านระบบที่วิเคราะห์ข้อมูลอย่างชาญฉลาด ทำให้เกิดทั้งความเป็นธรรมต่อลูกค้าที่จ่ายเบี้ยประกันในจำนวนที่ตรงตามคุณสมบัติของตนเอง เช่น รายได้ ความเสี่ยง เป็นต้น หรือในเคสของประกันรถยนต์ก็สามารถคำนวณตามระยะเวลาในการใช้รถ รวมถึงช่วงอายุ เพศ และสถานภาพการสมรสได้อย่างแม่นยำ และบริษัทประกันก็มีความสะดวกในการบริหารจัดการมากยิ่งขึ้น ไม่ต้องมานั่งคำนวณเองแบบแมนวล ซึ่งอาจเกิดความคลาดเคลื่อนได้
  • ลูกค้าสามารถเคลมและอนุมัติสินไหมได้อย่างรวดเร็วในแบบ paperless คือ ไม่ต้องเตรียมเอกสารมากมายให้วุ่นวาย เพราะฐานข้อมูลทุกอย่างเชื่อมต่อกันหมดแบบออนไลน์ ซึ่งจะยิ่งช่วยได้มากในกรณีที่เป็นเจ้าหน้าที่ประสานงานเคลมให้พนักงานหลายๆ คนในองค์กร อย่าง HR เป็นต้น
  • บริษัทประกันสามารถลดต้นทุนที่ต้องใช้ในการจ้างตัวแทนขายประกันและพนักงานลงได้มาก เพราะขั้นตอนหลายๆ อย่างสามารถทำได้ผ่านระบบอัตโนมัติและฐานข้อมูลเชื่อมโยงแบบออนไลน์ ซึ่งทำให้มีบริษัทประกันที่เน้นการทำธุรกิจแบบออนไลน์เป็นหลักมากขึ้น
  • บริษัทประกันที่นำ InsurTech มาใช้กับธุรกิจของตัวเองทำให้แบรนด์มีความน่าเชื่อถือมากยิ่งขึ้นในสายตาของผู้บริโภคและทำให้ดูมีความทันสมัย โดดเด่นกว่าคู่แข่งในตลาดอีกด้วย
  • ช่วยให้ธุรกิจสามารถพัฒนาผลิตภัณฑ์ประกันภัยที่ทันสมัย สอดคล้องกับวิถีชีวิตยุคใหม่ และตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าได้ดียิ่งขึ้น

ด้วยเหตุนี้เอง ทำให้ทั้งบริษัทประกันและบริษัทสตาร์ตอัป หันมาให้ความสนใจในการลงทุนด้าน InsurTech กันมากขึ้น ส่งผลให้ตลาด InsurTech มีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยมีการคาดการณ์ไว้ว่าตลาด InsurTech ทั่วโลกจะมีมูลค่าสูงถึง 3 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2032 โดยมีอัตราการเติบโตต่อปีแบบทบต้นอยู่ที่ 41%

Global-Insurtech-Market-by-type

แผนภูมิแสดงการเติบโตของตลาด InsurTech โดย Market.us

ตัวอย่าง InsurTech ในไทยและต่างประเทศ

ต่อไปนี้คือตัวอย่างที่น่าสนใจของการนำ InsurTech ไปใช้ทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ

ในประเทศไทย

  • คปภ. ร่วมกับบริษัทประกันภัยกว่า 60 บริษัทร่วมกันพัฒนาระบบ Insurance Bureau System เพื่อนำ big data มาเป็นแหล่งข้อมูลกลางด้านประกันภัย ทำให้ประชาชนได้รับการคุ้มครองที่รวดเร็วขึ้น รวมทั้งการจ่ายค่าเบี้ยประกันและค่าสินไหมทดแทนที่เป็นธรรมต่อทุกฝ่าย ทั้งยังลดปัญหาการทุจริตจากธุรกิจประกันภัยอีกด้วย
  • รู้ใจ บริษัทประกันออนไลน์ที่ลูกค้าสามารถเปรียบเทียบและซื้อประกันได้ผ่านทางเว็บไซต์และแอปพลิเคชัน โดยมี API เชื่อมต่อกับช่องทางการชำระเงินหลากหลาย และใช้เทคโนโลยี tokenization เพื่อเก็บข้อมูลบัตรเครดิตอย่างปลอดภัย และสามารถตัดเงินค่าเบี้ยประกันรายเดือนหรือรายปีได้อัตโนมัติ พร้อมระบบแจ้งเคลมประกันหรืออุบัติเหตุแบบเรียลไทม์ด้วย GPS
  • ไทยวิวัฒน์ มีผลิตภัณฑ์ประกัน Active Health ที่ให้ลูกค้าสวมใส่สมาร์ตวอตช์เพื่อลดค่าเบี้ยประกันสุขภาพหากออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ และประกันรถยนต์เปิดปิด ที่ใช้อุปกรณ์ IoT เพื่อคิดค่าเบี้ยประกันตามเวลาการใช้งานรถจริง รวมถึงบริการแจ้งเหตุฉุกเฉิน ค้นหาอู่/ศูนย์ซ่อม หรือต่ออายุประกัน ที่ทำได้ผ่านแอปฯ ทั้งยังมีการร่วมลงทุนกับบริษัทสตาร์ตอัปเพื่อนำ MARS Inspect ที่เป็น AI มาใช้ตรวจสภาพรถยนต์แบบเรียลไทม์อีกด้วย
  • ClaimDi แอปฯ สำหรับเคลมประกันภัยรถยนต์ได้ด้วยตัวเองโดยไม่ต้องรอเจ้าหน้าที่บริษัทประกัน โดยระบบจะทำการบันทึกข้อมูล รูปภาพ วันเวลา และสถานที่ ไว้อย่างละเอียด สามารถทำได้ทั้งแบบมีคู่กรณีและไม่มีคู่กรณี

ต่างประเทศ

  • Lemonade บริษัทประกันในอเมริกาที่ใช้ AI ในรูปแบบของแชตบอตเพื่อตอบโต้ลูกค้าและใช้เครื่องมืออย่าง Mixpanel ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มที่ให้บริการวิเคราะห์ข้อมูลโปรดักต์ระดับโลกในการทำหน้าที่วิเคราะห์ข้อมูลของลูกค้าเพื่อนำเสนอผลิตภัณฑ์ประกันที่ตรงใจและคำนวณค่าเบี้ยประกันที่เหมาะสม ทำให้ค่าเบี้ยประกันถูกกว่าคู่แข่งมาก รวมถึงการจ่ายเงินเคลมประกันที่รวดเร็ว โดยอาจใช้เวลาน้อยที่สุดเพียง 3 วินาทีเท่านั้น ซึ่งขั้นตอนการใช้งานทั้งหมดทำได้ผ่านแอปฯ
  • Vouch บริษัทประกันในอเมริกาที่ใช้ AI ในการวิเคราะห์ข้อมูลลูกค้าที่เน้นกลุ่มสตาร์ตอัป เพื่อนำเสนอผลิตภัณฑ์ประกันที่เหมาะกับธุรกิจและความเสี่ยงของลูกค้าแต่ละเจ้า พร้อมผลิตภัณฑ์ประกันที่หลากหลายไม่ว่าจะเป็น ประกันความปลอดภัยทางไซเบอร์ ประกันบั๊กของโปรดักต์ ประกันการทุจริตของพนักงาน เป็นต้น

จะเห็นได้ว่า การนำเทคโนโลยีสมัยใหม่ ไม่ว่าจะเป็น big data, AI, IoT มาใช้กับประกันภัย ทำให้เกิดความสะดวกสบาย เป็นธรรม และครอบคลุมความต้องการของผู้บริโภคมากขึ้น ซึ่งถือว่าเป็นจุดเด่นที่ทำให้ผู้บริโภคสนใจผู้ให้บริการ InsurTech เหล่านี้ และทำให้ธุรกิจเติบโตขึ้นอย่างมั่นคงในระยะยาว พร้อมที่ก้าวนำคู่แข่งในตลาดได้

สร้างโซลูชัน InsurTech กับเรา

อ่านมาถึงตรงนี้ เชื่อว่าผู้ประกอบธุรกิจประกันน่าจะมองเห็นแล้วว่า InsurTech คือเครื่องมือสำคัญที่จะช่วยยกระดับให้ธุรกิจของคุณได้ ทั้งในแง่ของประสิทธิภาพในการให้บริการและต้นทุนการดำเนินธุรกิจ ไม่ว่าโซลูชัน InsurTech ที่คุณต้องการจะเป็นอย่างไร สามารถเป็นจริงได้ เพียงปรึกษาเรา เพราะเรามีความเชี่ยวชาญในการพัฒนาซอฟต์แวร์และมีประสบการณ์ในการทำงานร่วมกับบริษัทประกันภัยชั้นนำมาอย่างโชกโชน