Product discovery คือการวางรากฐานให้กับทุกสิ่งที่ตามมาในวงจรการพัฒนาโปรดักต์ ในการพัฒนาซอฟต์แวร์ยุคใหม่ที่เน้นการทำงานแบบทำซ้ำ (ซึ่งมักเรียกกันว่า Dual-Track Agile) ขั้นตอน discovery จะรันควบคู่ไปกับการส่งมอบโปรดักต์ เพื่อให้มั่นใจว่าสิ่งที่กำลังสร้างนั้นเป็นสิ่งที่มีค่าต่อผู้ใช้งานจริงๆ และมีความเป็นไปได้ในเชิงธุรกิจ ไปพร้อมๆ กัน
จริงๆ แล้ว product discovery คือตัวกำหนดกลยุทธ์โปรดักต์ ช่วยพิสูจน์สมมติฐาน และกำหนดทิศทางโดยรวมของโปรเจกต์ เป็นขั้นตอนที่ทีมโปรดักต์จะเข้ามาช่วยกันเคลียร์ปัญหาให้ชัด ทำความเข้าใจความต้องการของผู้ใช้งาน และประสานเป้าหมายทางธุรกิจให้ตรงกัน พร้อมกับกำหนดตัวชี้วัดหลักที่จะบอกว่าความสำเร็จคืออะไร หากทำออกมาได้ดี discovery จะช่วยป้องกันความผิดพลาดที่มีราคาแพง และทำให้มั่นใจว่าทีมกำลังแก้ปัญหาที่ถูกต้องด้วยวิธีการที่เหมาะสม นี่คือกระบวนการที่เน้นผู้ใช้งานเป็นศูนย์กลาง (user-centric) ซึ่งจะมีการปรับเปลี่ยนอยู่เสมอเมื่อเราค้นพบข้อมูลใหม่ๆ และถือเป็นขั้นตอนที่สำคัญที่สุดในการสร้างโปรดักต์ที่มีความหมายและคุ้มค่า
คุณเมย์ สุชาดา Product Manager ของ Seven Peaks ได้เน้นย้ำถึง 3 แง่คิดสำคัญของการทำ Product Discovery ที่แข็งแกร่งไว้ดังนี้
คุณเมย์ สุชาดา, Product Manager ของ Seven Peaks
กระบวนการ product discovery ประกอบด้วย 2 ระยะสำคัญ คือ: การสำรวจ (exploration) เพื่อทำความเข้าใจปัญหา และ การนิยาม (definition) เพื่อวางแผนตัวโซลูชัน
ระยะนี้คือการพาตัวเองลงไปคลุกคลีกับปัญหาและทำความเข้าใจความต้องการของผู้ใช้งานผ่านการสัมภาษณ์ stakeholders, การวิเคราะห์คู่แข่ง, เวิร์กช็อปวิเคราะห์งาน (task analysis), การทำ UX audit และการทำแบบสำรวจ ผลลัพธ์หลักๆ จากเฟสนี้มักจะได้แก่
User personas: หรือโปรไฟล์รายละเอียดของผู้ใช้กลุ่มเป้าหมาย แรงจูงใจ และความท้าทายที่พวกเขาเจอ
เฟสการนิยามคือการรวบรวมข้อมูลที่ได้มาสังเคราะห์เป็นปัญหาหลักที่ชัดเจน กำหนดขอบเขตและเป้าหมายของโปรเจกต์ วางแผนบทบาทของผู้ใช้งาน และประเมินฟังก์ชันการทำงาน ซึ่งมักจะออกมาเป็นเอกสารขอบเขตงาน (SOW) หรือบรีฟโปรดักต์ที่ครอบคลุม ขั้นตอนนี้ต้องผ่านการคิดอย่างละเอียดและประสานงานกับหลายฝ่าย
ประสานงานกับ stakeholders และทำการวิจัย: เริ่มจากการ kickoff โปรเจกต์เพื่อปรับเป้าหมาย ขอบเขต และผลลัพธ์ที่ต้องการให้ตรงกัน ตามด้วยการวิจัยอุตสาหกรรม วิเคราะห์คู่แข่ง และผู้ใช้กลุ่มเป้าหมาย เพื่อยืนยันว่าทีมมีความเข้าใจบริบทและกลุ่มผู้ชมของโปรดักต์อย่างทะลุปรุโปร่ง
พัฒนาแผนงานโปรดักต์ที่ชัดเจนและทำได้จริง: รวบรวมข้อมูลเชิงลึกทั้งหมดจากการทำ discovery มาไว้ในเอกสารเดียวเพื่อเป็นคู่มือในการทำงาน ซึ่งต้องอาศัยการประสานงานอย่างรอบคอบระหว่าง stakeholders เพื่อให้แน่ใจว่าข้อมูลวิจัย วัตถุประสงค์ทางธุรกิจ และความต้องการของผู้ใช้งานสอดคล้องกันเป็นกลยุทธ์เดียวที่ทั้งทีมพร้อมจะเดินไปด้วยกัน
ผลลัพธ์หลักของการทำ design discovery ก็คือ แผนงานโปรดักต์ (product plan) ซึ่งเป็นเอกสารเชิงกลยุทธ์ที่ระบุวิสัยทัศน์ ลำดับความสำคัญ และเส้นทางเดินของโปรดักต์ โดยอ้างอิงจากข้อมูลเชิงลึกของการวิจัยผู้ใช้งานและเป้าหมายทางธุรกิจ เพื่อเปลี่ยนความเข้าใจให้กลายเป็นกลยุทธ์ที่ลงมือทำได้จริง
โดยทั่วไป แผนงานโปรดักต์จะประกอบด้วยวิสัยทัศน์ เป้าหมายที่วัดผลได้ (มักใช้เฟรมเวิร์ก OKR คือ objectives and key results) ธีมหลัก ฟีเจอร์ หรือ Epics ที่จัดลำดับความสำคัญแล้ว และไทม์ไลน์การพัฒนา หัวใจสำคัญคือ แผนงานที่ดีต้องมีเฟรมเวิร์กการจัดลำดับความสำคัญที่ชัดเจน เช่น MoSCoW (must-have, should-have, could-have, won't-have) หรือ RICE (reach, impact, confidence, effort) เพื่อให้มั่นใจว่างานที่มีมูลค่าสูงสุดจะถูกจัดการก่อน เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของผู้ใช้งานที่ผ่านการพิสูจน์มาแล้ว
แผนงานนี้เปรียบเหมือน "เอกสารที่มีชีวิต" ซึ่งจะถูกปรับปรุงอยู่เสมอจากการทำ discovery อย่างต่อเนื่อง ความมุ่งมั่นในการเรียนรู้และปรับตัวอยู่ตลอดเวลานี่แหละที่ทำให้ product discovery เป็นแนวทางที่ทรงพลังและจำเป็นสำหรับองค์กรที่จริงจังกับการสร้างโปรดักต์ที่ประสบความสำเร็จและเป็นผู้นำตลาด
Jeremie Tisseau, Chief Design Officer ที่ Seven Peaks
Product discovery ไม่ใช่กิจกรรมที่ทำแค่ครั้งเดียวแล้วจบไป แต่มันคือทัศนคติทีมโปรดักต์ที่ประสบความสำเร็จที่สุดจะมองว่า discovery คือแนวทางที่ต้องทำอย่างต่อเนื่อง เพื่อพิสูจน์สมมติฐานและปรับตัวตามการเรียนรู้ใหม่ๆ อยู่เสมอ ไม่ว่าคุณกำลังจะเปิดตัวโปรดักต์ใหม่หรือพัฒนาโปรดักต์เดิมที่มีอยู่ การสละเวลาทำ discovery อย่างรอบคอบจะให้ผลตอบแทนที่คุ้มค่า เพราะช่วยให้มั่นใจได้ว่าทุกความพยายามในการพัฒนานั้นตั้งอยู่บนพื้นฐานความต้องการของผู้ใช้งานจริงและมอบคุณค่าให้ธุรกิจ เริ่มจากจุดเล็กๆ เรียนรู้ให้ไว และให้ discovery เป็นตัวนำทางคุณไปสู่จุดที่โปรดักต์เข้ากับตลาดได้อย่างลงตัว