open banking เป็นคำหนึ่งที่ผุดขึ้นมาในยุคที่เทคโนโลยีก้าวหน้าและความคาดหวังของผู้บริโภคได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว ทำเอาธนาคารและผู้ที่เกี่ยวข้องในแวดวงการเงินต้องติดตามแบบใกล้ชิด เพราะหากพลาดโอกาสที่จะปฏิวัติไปสู่ระบบการเงินและการธนาคารแบบใหม่นี้ ก็มีสิทธิ์ที่ความสามารถการแข่งขันในตลาดจะลดน้อยถอยลงจนยากที่จะกลับมาเป็นผู้นำได้อีก
ข้อมูลที่น่าสนใจจาก Statista เปิดเผยว่ามีแนวโน้มสูงมากที่ภายในปี 2024 จะมีผู้ใช้งาน open banking ที่ยุโรปมากถึง 63.8 ล้านราย นั่นคือเหตุผลว่าทำไมบทความนี้จึงจะพาคุณไปทำความเข้าใจถึงเรื่องราวของ open banking ที่หลายคนบอกว่ามันคืออนาคตของวงการธนาคารนับต่อจากนี้
open banking เป็นระบบที่ช่วยให้ธนาคารหรือผู้ให้บริการทางการเงินสามารถแบ่งปันข้อมูลทางการเงินของตนได้อย่างปลอดภัยระหว่างแอปพลิเคชันและบริการของบุคคลที่สามที่ได้รับอนุญาต ซึ่งสิ่งนี้เกี่ยวข้องกับการใช้ Application Programming Interfaces (API) แบบเปิด หรือที่เรียกว่า “Open API” ที่ช่วยให้สถาบันการเงินต่างๆ สามารถแลกเปลี่ยนข้อมูลกันได้ตลอดเวลาและมีความคล่องตัวสูงสุด
จุดกำเนิดของ open banking ได้เริ่มต้นในปี 1980 เมื่อ Deutsche Bundespost (สำนักงานไปรษณีย์กลางของเยอรมนี) ได้ลองทำการเชื่อมต่อระบบของพวกเขาเข้ากับคอมพิวเตอร์ภายนอกห้าเครื่องและเชิญผู้ใช้กลุ่มพิเศษประมาณ 2,000 รายให้เข้าร่วมเพื่อทดลองใช้งาน
การทดลองนี้ถูกนำมาใช้เพื่อทดสอบบริการธนาคารออนไลน์รูปแบบใหม่ ซึ่งทำตลาดภายใต้สโลแกน "ธนาคารในห้องนั่งเล่นของฉัน" ที่ถือว่าเป็นเรื่องที่น่าตื่นเต้นมากสำหรับยุคนั้น เนื่องจากระบบนี้ช่วยให้ผู้ใช้สามารถโอนเงินทางออนไลน์ได้โดยการใช้รหัส “300#”
หลังจากการทดลองเสร็จสิ้นผู้ที่ได้เข้าร่วมการทดลองต่างพากันบอกถึงความประทับใจอย่างมาก และนั่นถือเป็นการปรากฏตัวครั้งแรกของเครื่องธนาคารแบบบริการตนเอง นวัตกรรมดังกล่าวเป็นต้นแบบที่นำไปสู่การพัฒนา Home Banking Computer Interface (HBCI) ในปี 1998 และ Financial Transaction Services (FinTS) ในปี 2002
สิ่งสำคัญที่เป็นพลังหลักที่ช่วยขับเคลื่อนธนาคารแนวคิดใหม่อย่าง open banking ให้โดดเด่นและตอบโจทย์การใช้งานยุคดิจิทัลที่ทุกอย่างเชื่อมโยงถึงกัน ก็คือหลักการทำงานโดยทั่วไปที่เกี่ยวข้องกับ API ในระบบธนาคาร โดยจะแบ่งออกเป็นสามประเภทหลักดังนี้
API ในกลุ่มนี้จะเป็นเหมือนกับตัวกลางที่เปิดโอกาสให้บุคคลที่สามสามารถใช้ API ของ open banking เชื่อมต่อเพื่อเข้าถึงข้อมูลบัญชี, ยอดเงินคงเหลือ, และประวัติการทำธุรกรรมต่างๆ ในลักษณะอ่านได้อย่างเดียวเท่านั้น
API ในกลุ่มนี้เปรียบเหมือนกับตัวกลางที่ช่วยให้บุคคลที่สามเชื่อมต่อกับ open banking โดยสามารถโอนเงิน, ตั้งค่าการหักบัญชีธนาคาร, และเริ่มต้นการชำระเงินให้กับร้านค้าต่างๆ ได้จากทุกที่ทุกเวลาได้เหมือนกับการใช้ mobile banking ปกติที่มีอยู่ในปัจจุบัน
API ในกลุ่มนี้ช่วยบุคคลที่สามที่อาจเป็นเว็บไซต์เปรียบเทียบข้อมูลหรืออื่นๆ สามารถดึงข้อมูลจากธนาคาร เช่น รายการผลิตภัณฑ์ทางการเงิน, อัตราดอกเบี้ย, และข้อกำหนดต่างๆ เพื่อนำไปแสดงผ่านทางแพลตฟอร์มของพวกเขาได้
เพื่อให้เห็นว่าการที่แวดวงการเงินและการธนาคารสามารถประยุกต์ใช้เฟรมเวิร์ก open banking กับระบบธนาคารที่มีอยู่เดิมได้อย่างไรบ้างนั้น เหล่านี้คือตัวอย่างที่น่าสนใจที่คุณควรรู้เอาไว้เพื่อเตรียมตัวให้พร้อมกับอนาคตของธนาคารที่กำลังมาถึง
open banking ได้เปิดโอกาสมากมายให้กับบรรดาสถาบันการเงินหรือใครก็ตามที่เล็งเห็นว่าสิ่งนี้จะช่วยพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงินในยุคดิจิทัลให้ก้าวหน้าไปอีกขั้น และนี่คือกลุ่มคนที่สามารถใช้ประโยชน์จาก open banking ได้ตามที่พวกเขาต้องการ
คนธรรมดาอย่างเราๆ คือกลุ่มที่จะได้รับประโยชน์จาก open banking มากที่สุด เนื่องจากทุกคนสามารถที่จะควบคุมข้อมูลทางการเงินของตนได้มากขึ้น พร้อมทั้งมีตัวเลือกมากมายในการใช้แอปพลิเคชันต่างๆ สำหรับการจัดทำงบประมาณ, จัดการการเงินส่วนบุคคล, วิธีชำระเงินที่สะดวกกว่าที่เคย และเข้าถึงบริการทางการเงินที่ได้นำเสนอนวัตกรรมใหม่ๆ ที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ที่แตกต่างกันของผู้คนในยุคดิจิทัลได้มากขึ้น
บริษัทฟินเทคทั้งหลายได้ใช้ประโยชน์จาก open banking เพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการใหม่ๆ ตอบสนองความต้องการของผู้ใช้กลุ่มต่างๆ เช่น e-wallet, เครื่องมือการจัดการการเงินส่วนบุคคล, แพลตฟอร์มการลงทุน, และโซลูชันการให้กู้ยืมที่ต้องอาศัยการเข้าถึงข้อมูลทางการเงินของผู้ใช้แบบเรียลไทม์
ธนาคารและสถาบันการเงินแบบดั้งเดิมเองถือเป็นหนึ่งในกลุ่มผู้รับประโยชน์จากการประยุกต์ใช้ open banking เพื่อยกระดับประสบการณ์ของลูกค้าให้ทันสมัย พร้อมด้วยการร่วมมือกับพันธมิตรด้านฟินเทคที่นำเสนอโปรดักต์รวมถึงบริการใหม่ๆ อันน่าสนใจ ควบคู่ไปกับการรักษาความสามารถในการแข่งขันในภูมิทัศน์ทางการเงินที่กำลังพัฒนาและเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมอย่างมาก
บรรดาผู้ให้บริการบุคคลที่สาม เช่น บริษัทวิเคราะห์ข้อมูลและหน่วยงานให้คะแนนเครดิต สามารถใช้ open banking เพื่อเข้าถึงข้อมูลทางการเงินของบุคคลต่างๆ ด้วยวัตถุประสงค์ที่แตกต่างกันได้อย่างครอบคลุม เช่น การประเมินความเสี่ยงในการให้สินเชื่อ, การให้คะแนนเครดิต, และการให้ข้อมูลเชิงลึกอันมีค่าเพื่อนำไปใช้พัฒนาต่อยอดในอนาคต
ภาครัฐรวมถึงหน่วยงานที่กำกับดูแลเรื่องการเงินและการธนาคารอย่างธนาคารแห่งประเทศไทย สนับสนุนแนวคิด open banking เพื่อส่งเสริมการแข่งขัน กระตุ้นให้ผู้ประกอบการคิดค้นนวัตกรรม และการคุ้มครองผู้บริโภคในอุตสาหกรรมการเงินให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ด้วยการกำหนดมาตรฐานและแนวปฏิบัติเพื่อให้แน่ใจว่าการแบ่งปันข้อมูลผ่านทาง API จะมีความปลอดภัยและเป็นไปตามข้อกำหนดทุกประการ
ไม่เพียงคนทั่วไปหรือสถาบันการเงินที่ได้ประโยชน์จากการใช้ open banking เท่านั้น แต่ธุรกิจและร้านค้าต่างๆ ยังมีช่องทางใหม่ๆ ในการพัฒนาประสบการณ์ของลูกค้าพวกเขาให้ดีขึ้นอีกมากมาย โดยการผสานรวมโซลูชันการชำระเงินเข้ากับระบบที่เกี่ยวข้องได้โดยตรง ซึ่งช่วยลดต้นทุนในการทำธุรกรรม และเสนอทางเลือกการชำระเงินที่สะดวกสบายยิ่งขึ้นแก่ลูกค้าของพวกเขา
ตอนนี้ถึงเวลาแล้วเราจะพาคุณไปดูตัวอย่างการนำเฟรมเวิร์ก open banking จากทั่วโลกไปประยุกต์ใช้จนออกมาเป็นผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงินใหม่ๆ ที่ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคยุคดิจิทัลได้จริง
open banking ยังคงเป็นประเด็นร้อนที่น่าสนใจ ถึงแม้ว่าเรื่องนี้จะยังเพิ่งเริ่มต้นในประเทศไทยได้ไม่นานนัก แต่ก็เป็นการเปิดโอกาสให้ภาคธุรกิจธนาคารและการเงิน หรือใครก็ตามที่เล็งเห็นถึงโอกาส สามารถเตรียมตัวให้พร้อม ทั้งไอเดีย แผนธุรกิจ และแนวทางการพัฒนาให้พร้อมสำหรับการนำเสนอโปรดักต์ทางการเงินใหม่ๆ สู่ผู้บริโภค
Seven Peaks ในฐานะผู้นำด้านการ digital transformation ที่เชี่ยวชาญทุกด้านในเรื่องดิจิทัลโปรดักต์ การพัฒนาซอฟต์แวร์ แอปฯ เว็บไซต์ รวมถึงการออกแบบ UX/UI ที่เข้าใจผู้ใช้ตัวจริงผ่านการทำ UX research เหล่านี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งจากบริการครบวงจรของเรา ที่จะช่วยให้คุณสามารถสร้างสรรค์ digital product ต่างๆ ได้ตามเป้าหมายทางธุรกิจที่วางไว้ ปรึกษาเราตอนนี้