บทความและข่าวสาร | Seven Peaks Insights

Intelligent App คืออะไร? เจาะลึกแอปฯ สุดฉลาดที่กำลังเปลี่ยนโลก

เขียนโดย Seven Peaks - 26 ก.ย. 2025, 9:14:37

คุณเคยรู้สึกไหมว่าแอปพลิเคชันที่เราใช้ในทุกวันนี้ มัน "รู้ใจ" เรามากขึ้นเรื่อยๆ จากที่เคยต้องคอยกดสั่งทุกอย่างเอง กลายเป็นว่าแอปฯ สมัยนี้สามารถแนะนำหนังที่เราน่าจะชอบ คัดเลือกเพลงที่ใช่ให้เราฟัง หรือแม้กระทั่งบอกเส้นทางที่ดีที่สุดเพื่อหนีรถติด ได้โดยที่ไม่ต้องรอเราขอให้ช่วยหาแต่อย่างใด

Gartner บริษัทวิจัยและให้คำปรึกษาด้านเทคโนโลยีของสหรัฐอเมริกา เปิดเผยว่า intelligent applications เป็นหนึ่งใน 10 แนวโน้มเทคโนโลยีเชิงกลยุทธ์ยอดนิยมในปี 2024 ที่ผ่านมา สิ่งนี้ได้ฉายภาพให้เห็นว่าในอนาคตเราจะได้ใช้แอปฯ อันชาญฉลาดและรู้เรื่องของเรามากขึ้นเรื่อยๆ

ปรากฏการณ์นี้ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่มันคือยุคของ intelligent app หรือแอปพลิเคชันอัจฉริยะ ที่ไม่ได้ทำงานแบบรอรับคำสั่งเหมือนในอดีตอีกต่อไป แต่เปลี่ยนมาทำงานเชิงรุกและปรับตัวให้เข้ากับผู้ใช้แต่ละคน หรือที่เราเรียกกันว่า personalized ได้อย่างน่าทึ่ง ในบทความนี้ Seven Peaks จะพาไปเจาะลึกว่า intelligent app คืออะไร ทำไมแอปฯ ถึงฉลาดได้ขนาดนี้ และเทคโนโลยี AI กำลังจะเปลี่ยนโฉมหน้าของโลกดิจิทัลไปอย่างไร

 

เทคโนโลยีใดบ้างที่ทำให้แอปฯ ฉลาดขึ้นและกลายเป็น Intelligent App ในยุค AI?

เบื้องหลังความฉลาดที่ทำให้ intelligent app แทบจะอ่านใจผู้ใช้งานได้ทุกอย่าง ไม่ใช่เรื่องที่จะเกิดขึ้นได้ง่ายๆ จากนวัตกรรมหรือชุดความรู้ดั้งเดิม แต่เป็นการผสมผสานเทคโนโลยีสุดล้ำหลายอย่างเข้าด้วยกัน โดยมีเทคโนโลยีหลักที่เป็นหัวใจสำคัญดังนี้

  • Artificial Intelligence - AI: เปรียบเสมือน "สมอง" ของ intelligent app ซึ่งเป็นแกนหลักที่ทำให้แอปพลิเคชันสามารถคิด วิเคราะห์ และตัดสินใจในเรื่องที่ซับซ้อนได้ด้วยตัวเอง คล้ายกับความสามารถในการคิดและตีความสิ่งต่างๆ ของมนุษย์
  • Machine Learning - ML: คือความสามารถในการเรียนรู้ของ AI ที่ทำให้แอปฯ ไม่ได้มีแค่ความฉลาดที่ถูกป้อนโปรแกรม หรือสร้าง LLM (Large Language Model) ไว้ แต่สามารถเรียนรู้และพัฒนาตัวเองจากข้อมูลการใช้งานของเราได้ ยิ่งเราใช้งานมากเท่าไหร่ แอปฯ ก็จะยิ่งเข้าใจและนำเสนอสิ่งที่ตรงใจเราได้แม่นยำขึ้นเรื่อยๆ
  • Natural Language Processing - NLP: เป็นเทคโนโลยีที่ทำให้แอปฯ สามารถเข้าใจและโต้ตอบภาษาที่มนุษย์อย่างพวกเราใช้กันได้อย่างเป็นธรรมชาติ ไม่ว่าจะเป็นการพูดหรือการพิมพ์ เราจึงสามารถสั่งงานด้วยเสียงผ่าน Siri หรือคุยกับ chatbot ได้เหมือนคุยกับคนจริงๆ นั่นเอง
  • Big Data: คือคลังข้อมูลมหาศาลที่เป็นเหมือนวัตถุดิบชั้นดีให้ AI และ ML ได้เรียนรู้ ทั้งพฤติกรรมการใช้งานของผู้คน ข้อมูลสถานที่ สภาพอากาศ และอื่นๆ อีกมากมาย ข้อมูลเหล่านี้คือสิ่งที่ทำให้ intelligent app สามารถวิเคราะห์และคาดการณ์สิ่งต่างๆ ได้อย่างแม่นยำ

 

5 ตัวอย่าง Intelligent App ในชีวิตประจำวัน ที่คุณอาจไม่รู้ตัวว่ากำลังใช้อยู่ตอนนี้

ในตอนนี้มีแอปพลิเคชันที่คนส่วนใหญ่คุ้นเคยและใช้งานกันอยู่เป็นประจำ แท้จริงแล้วนั้นเป็น intelligent app ที่มีเทคโนโลยี AI คอยช่วยประมวลผลรวมถึงสนับสนุนการทำงานอยู่เบื้องหลัง เพื่อให้เห็นภาพชัดเจนและเชื่อมโยงกับประสบการณ์จริงของผู้ใช้งานมากขึ้น

1. ระบบแนะนำคอนเทนต์ (Content Recommendation)

เคยสงสัยไหมว่าทำไม Netflix, YouTube หรือ Spotify ถึงแนะนำหนัง ซีรีส์ หรือเพลงใหม่ๆ มาให้เราได้ตรงใจตลอด? นั่นเพราะ AI กำลังเรียนรู้พฤติกรรมการดูและฟังของเรา เพื่อวิเคราะห์และคัดเลือกคอนเทนต์ที่คิดว่าเราจะต้องชอบหรือกำลังมองหาอยู่มาให้นั่นเอง

2. ผู้ช่วยส่วนตัว (Personal Assistants)

ไม่ว่าจะเป็น Siri, Google Assistant หรือ Alexa ทั้งหมดนี้คือ intelligent app ที่ใช้เทคโนโลยี NLP ทำให้สามารถเข้าใจคำสั่งเสียงที่ซับซ้อนและโต้ตอบกับเราได้อย่างราบรื่น ช่วยให้การค้นหาข้อมูล ตั้งนาฬิกาปลุก หรือแม้แต่ควบคุมอุปกรณ์ในบ้านกลายเป็นเรื่องง่ายดายกว่าที่ผ่านมา

3. ฟีเจอร์แนะนำสินค้า (Product Recommendations)

ขาช้อปออนไลน์น่าจะคุ้นเคยกันดี เวลาที่เราเข้าแอปฯ อย่าง Amazon, Shopee หรือ Lazada แล้วเจอสินค้าที่เรากำลังอยากได้พอดี นี่คือผลงานของ AI ที่คอยสังเกตพฤติกรรมการค้นหา การคลิกดู และประวัติการซื้อของเรา เพื่อนำเสนอสินค้าที่ตรงกับความสนใจมากที่สุด

4. ตัวเลือกทางที่ดีที่สุดแบบเรียลไทม์ (Real-time Suggestions)

แอปฯ แผนที่อย่าง Google Maps หรือ Waze ไม่ได้เป็นแค่แผนที่ดิจิทัลธรรมดาทั่วไป แต่มันคือ intelligent app ที่วิเคราะห์ข้อมูลการจราจรจากผู้ใช้ Big Data จำนวนมหาศาลแบบเรียลไทม์ เพื่อคำนวณและแนะนำเส้นทางที่เร็วที่สุดให้เรา ณ เวลานั้นๆ

5. จัดการอีเมลได้รวดเร็วขึ้น (Email Categorization)

ใครที่ใช้ Gmail คงเคยเจอกับฟีเจอร์ Smart Reply ที่แนะนำคำตอบกลับสั้นๆ ให้เรากดได้ทันที หรือการที่ระบบสามารถคัดแยกอีเมลสำคัญออกจากอีเมลขยะและอีเมลโปรโมชันได้อย่างแม่นยำ ฟีเจอร์เหล่านี้ล้วนขับเคลื่อนด้วย ML ที่เรียนรู้และช่วยให้เราจัดการกับอีเมลจำนวนมากได้ง่ายขึ้น

 

ประโยชน์ของ Intelligent App ที่มีต่อผู้ใช้งานและภาคธุรกิจ

intelligent app ไม่เพียงแต่สร้างความสะดวกสบายให้กับผู้ใช้ทั่วไป แต่ยังเป็นเครื่องมือสำคัญที่สร้างความได้เปรียบให้กับภาคธุรกิจอีกด้วย โดยเราได้สรุปสิ่งที่น่าสนใจมาให้คุณได้เข้าใจง่ายๆ ดังนี้

สำหรับผู้ใช้งานทั่วไป

  • ความสะดวกสบายและประหยัดเวลา: แอปฯ สามารถทำงานเชิงรุกและจัดการเรื่องเล็กๆ น้อยๆ แทนเราได้ โดยเฉพาะงานง่ายๆ ที่ไม่ต้องใช้การคิดอะไรมากมาย รวมถึงงานที่เราต้องทำซ้ำๆ บ่อยๆ ด้วยตัวเอง
  • ประสบการณ์ที่เป็นส่วนตัว (personalization): ได้รับข้อมูล เนื้อหา หรือบริการที่ออกแบบมาเพื่อเราโดยเฉพาะ ไม่จำเป็นต้องเห็นแคมเปญ หรือตัวเลือกต่างๆ ที่ออกแบบมาสำหรับกลุ่มเป้าหมาย
    กว้างๆ อีกต่อไป
  • ได้รับสิ่งที่ตรงความต้องการมากขึ้น: ลดเวลาในการค้นหาและตัดสินใจ เพราะแอปฯ ช่วยคัดกรองสิ่งที่ใช่มาให้แล้ว ช่วยลดเวลาที่เราต้องคิดเองอยู่เสมอว่าจริงๆ แล้วเรากำลังต้องการอะไรอยู่กันแน่

สำหรับภาคธุรกิจ

  • เพิ่มความพึงพอใจและรักษาลูกค้า: การมอบประสบการณ์ที่เป็นส่วนตัวและรู้ใจลูกค้าอย่างแท้จริง ทำให้ลูกค้ารู้สึกผูกพันกับแบรนด์มากขึ้น
  • วิเคราะห์ข้อมูลลูกค้าได้ลึกขึ้น: เข้าใจพฤติกรรมและความต้องการของลูกค้าได้อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เพื่อนำไปพัฒนาสินค้าและบริการที่ตรงกับสิ่งที่ลูกค้าต้องการ ทำให้นำเสนอโปรดักต์ที่แก้ไขปัญหาของลูกค้าได้อย่างแท้จริง
  • สร้างโอกาสทางการตลาดใหม่ๆ: สามารถนำเสนอสินค้าหรือโปรโมชันที่เหมาะสมกับลูกค้าแต่ละรายได้อย่างแม่นยำ ลดปัญหาการใช้งบประมาณไปกับแคมเปญที่ไม่ตอบโจทย์ลูกค้า
  • เพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน: ลดขั้นตอนการทำงานที่ซ้ำซ้อนด้วยระบบอัตโนมัติที่ขับเคลื่อนด้วย AI ช่วยให้แต่ละทีมในองค์กรเหลือเวลาเพื่อไปใช้จัดการเรื่องสำคัญได้มากขึ้น

 

Intelligent App และ AI ในอนาคตจะมีรูปร่างหน้าตาอย่างไร?

นี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น เมื่อมองไปข้างหน้า เทรนด์ของ AI ในอนาคตที่น่าสนใจ จะยิ่งผลักดันให้ intelligent app ฉลาดและเข้ามามีบทบาทในชีวิตเรามากขึ้นไปอีก

  • ทำงานร่วมกับ IoT (internet of things): แอปพลิเคชันจะไม่จำกัดอยู่แค่ในมือถือ แต่จะเชื่อมต่อและสั่งการอุปกรณ์ต่างๆ รอบตัวเรา ตั้งแต่สมาร์ทวอทช์ไปจนถึงเครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้าน เพื่อสร้างประสบการณ์ชีวิตที่ไร้รอยต่อ
  • การคาดการณ์ที่แม่นยำและซับซ้อนยิ่งขึ้น (advanced prediction): จากแค่การแนะนำสิ่งที่น่าจะชอบ จะกลายเป็นการคาดการณ์ความต้องการล่วงหน้า เช่น แอปฯ สุขภาพที่สามารถแจ้งเตือนความเสี่ยงของโรคได้จากข้อมูลการใช้ชีวิตของเรา
  • hyper-personalization ที่รู้ใจยิ่งกว่าเดิม: แอปฯ จะสามารถเข้าใจบริบท อารมณ์ และความตั้งใจของเราได้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น เพื่อมอบบริการที่เฉพาะเจาะจงและรู้ใจได้มากกว่าเพื่อนสนิทเสียอีก

 

เริ่มต้นสร้าง Intelligent App อย่างไรให้สำเร็จ

ไม่นานมานี้ Seven Peak Software (SPS) ได้จัดงาน สร้าง intelligent apps ให้ออกมาดีจะต้องวางแผนให้พร้อมเพื่อเปิดตัวได้อย่างสมบูรณ์แบบที่ตอกย้ำให้เห็นภาพอนาคตของ intelligent apps ในยุคต่อไปว่าเป็นไรอย่างไร ซึ่งมีคุณ Jeremie Tisseau, Chief Design Officer, คุณ Damien Velly, VP of Data and Analytics, และคุณ Leif Mork, VP of Digital Product เหล่าผู้บริหารทั้งสามคนจาก SPS ได้แชร์ข้อมูลที่น่าสนใจดังนี้

  1. กำหนดโจทย์ปัญหาให้ชัดเจน

    สิ่งแรกคือต้องระบุให้ได้ก่อนว่าเราจะนำ AI มาแก้ปัญหาอะไร โดยเน้นหนักไปที่งานที่ต้องทำซ้ำๆ ปัญหาข้อมูลที่เยอะเกินไปจนจัดการไม่ไหว (information overload) หรือกระบวนการที่ติดขัดคอขวด (bottleneck) อยู่บ่อยๆ ซึ่งเป็นจุดที่ AI สามารถเข้ามาช่วยแล้วสร้างความเปลี่ยนแปลงที่เห็นผลได้ทันที

  2. สร้างต้นแบบเพื่อพิสูจน์แนวคิด

    แม้ว่าจะรู้ว่าปัญหาที่แท้จริงคืออะไรแล้ว แต่ก็อย่าเพิ่งรีบลงทุนพัฒนาเองทั้งหมด คุณอาจลองใช้แพลตฟอร์ม AI สำเร็จรูปจากผู้ให้บริการรายใหญ่ เช่น Google, Microsoft หรือ OpenAI เพื่อสร้างต้นแบบและทดสอบไอเดียอย่างรวดเร็วก่อน วิธีนี้จะช่วยให้ประเมินได้ว่าแนวคิดของเรานั้นเวิร์คจริงหรือไม่ ก่อนที่จะตัดสินใจลงทุนพัฒนาระบบขึ้นมาเอง

  3. พัฒนาโปรดักต์เวอร์ชันแรก (MVP) ที่ใช้งานได้จริง

    หลังจากแนวคิดผ่านการทดสอบแล้ว ให้มุ่งเน้นไปที่การพัฒนาโปรดักต์เวอร์ชันแรก (minimum viable product) ที่มีฟังก์ชันหลักครบถ้วนพอที่จะให้ผู้ใช้งานจริงได้ทดลองใช้ในสถานการณ์จริงได้ทันที ที่สำคัญคือต้องกำหนดเกณฑ์การวัดความสำเร็จ (success criteria) ที่ชัดเจนและจับต้องได้

  4. ขยายผลอย่างมั่นคงและปลอดภัย

    เมื่อ MVP ประสบความสำเร็จและต้องการขยายระบบให้รองรับผู้ใช้มากขึ้น ขั้นตอนนี้ต้องให้ความสำคัญกับความปลอดภัยเป็นอย่างยิ่ง ต้องมีการวางระบบการจัดการข้อมูลที่ดี (data governance) มาตรการรักษาความปลอดภัยที่รัดกุม รวมถึงการพัฒนา API ที่แข็งแกร่ง ซึ่งต้องมีการยืนยันตัวตน การจำกัดปริมาณการเรียกใช้ และความสามารถในการตรวจสอบย้อนหลังที่ชัดเจน

เตรียมพร้อมรับมือกับยุคแห่งแอปพลิเคชันอัจฉริยะ

intelligent app ไม่ใช่เรื่องของโลกอนาคตอีกต่อไป แต่เป็นเทคโนโลยีที่เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิตใหม่แล้ว การมาถึงของแอปฯ อัจฉริยะเหล่านี้กำลังเปลี่ยนวิธีที่เราทำงาน ใช้ชีวิต และมีปฏิสัมพันธ์กับโลกรอบตัวอย่างสิ้นเชิง

สำหรับภาคธุรกิจ นี่คือโอกาสครั้งสำคัญในการยกระดับประสบการณ์ของลูกค้าและสร้างความได้เปรียบในการแข่งขัน การทำความเข้าใจและนำศักยภาพของเทคโนโลยี AI มาปรับใช้ในการพัฒนา Digital Product คือกุญแจสำคัญที่จะนำพาธุรกิจของคุณให้เติบโตในยุคดิจิทัลได้อย่างยั่งยืน

อย่างไรก็ตาม การที่หลายองค์กรนำเทคโนโลยี AI มาใช้เพียงผิวเผินเป็นแค่ "ฟีเจอร์เสริม" หรือ "ส่วนที่วางซ้อน" (AI as a Layer) บนระบบเดิมนั้นเป็นแนวทางที่มีข้อจำกัด เพราะไม่สามารถเปลี่ยนแปลงวิธีการทำงานของผู้ใช้ได้อย่างแท้จริง ปัญหาที่เกิดขึ้นคือ AI ไม่ได้เข้าใจบริบทอย่างครบถ้วนจากข้อมูลที่กระจัดกระจายกัน อีกทั้งผู้ใช้ยังคงเคยชินกับขั้นตอนการทำงานแบบเดิมๆ และสุดท้ายภาระการตัดสินใจก็ยังคงตกอยู่ที่ผู้ใช้อยู่ดี โดยที่ AI ทำได้เพียงแค่ให้คำแนะนำเท่านั้น

ดังนั้น แนวคิดที่ถูกต้องคือการเปลี่ยนมุมมองและสร้างดิจิทัลโปรดักต์โดยมี AI เป็นแก่นกลาง (AI at the Core) เสมือนเป็นระบบปฏิบัติการที่สามารถคิด ลงมือทำ และปรับตัวได้เอง ไม่ใช่แค่คอยช่วยเหลือ ซึ่งการวาง AI เป็นศูนย์กลางจะช่วยปลดล็อกศักยภาพสูงสุด โดยระบบจะมีข้อมูลที่ครบถ้วน ทำให้สามารถสร้างกระบวนการทำงานที่ยืดหยุ่นและคาดการณ์ความต้องการล่วงหน้าได้โดยอัตโนมัติ ซึ่งจะช่วยให้ผู้ใช้ไม่ต้องทำงานที่ซ้ำซ้อนและหันไปให้ความสำคัญกับงานเชิงกลยุทธ์ได้มากขึ้นอย่างที่ไม่เคยทำได้มาก่อน

ที่ Seven Peaks เราเชี่ยวชาญด้านการพัฒนาซอฟต์แวร์และ Digital Product ที่ทันสมัย หากคุณกำลังมองหาพาร์ทเนอร์ที่จะช่วยนำเทคโนโลยี AI มาสร้างสรรค์ intelligent app ที่ตอบโจทย์ธุรกิจของคุณ ติดต่อเราเพื่อพูดคุยกับผู้เชี่ยวชาญได้เลยวันนี้