ช่วงไม่กี่ปีมานี้บรรดาบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำของโลก ต่างประกาศการลงทุนในไทยรวมถึงประเทศอื่นๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ คิดเป็นเม็ดเงินรวมกันหลักหลายแสนล้านบาท เริ่มจาก Google ที่ลงทุนราว 36,000 ล้านบาท เพื่อสร้าง data center และ cloud region แห่งแรกในไทย และคาดว่าจะเปิดตัวในปี 2027 หรือ Amazon Web Services (AWS) ที่เตรียมสร้างดาต้าเซ็นเตอร์ในไทยมูลค่ากว่า 2 แสนล้านบาท ภายในปี 2037
นี่คือสัญญาณที่บ่งบอกต่อธุรกิจต่างๆ ในไทยและภูมิภาคอาเซียนว่า data center คือหนึ่งในโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญสำหรับการพัฒนาธุรกิจและองค์กรรูปแบบต่างๆ ให้เติบโตในยุคที่ทุกอย่างกลายเป็นดิจิทัล เพื่อให้คุณพร้อมสำหรับเทรนด์เทคโนโลยีที่กำลังเปลี่ยนโลกในหลายมิติให้แตกต่างไปจากเดิม Seven Peaks จะพาคุณไปทำความเข้าใจว่าดาต้าเซ็นเตอร์คืออะไร ทำไมหลายภาคส่วนถึงสนใจเรื่องนี้กันมากขึ้น
data center หรือ "ศูนย์ข้อมูล" คือสถานที่ซึ่งออกแบบมาเพื่อจัดเก็บ, ประมวลผล, และจัดการข้อมูลดิจิทัลจำนวนมหาศาล โดยประกอบไปด้วยเซิร์ฟเวอร์, ระบบจัดเก็บข้อมูล, อุปกรณ์เครือข่าย เช่น สวิตช์, เราเตอร์, สายเคเบิล รวมถึงระบบสนับสนุนที่สำคัญ เช่น ระบบไฟฟ้าสำรอง (UPS), ระบบระบายความร้อน, ระบบควบคุมความชื้น, และระบบรักษาความปลอดภัยขั้นสูง (เช่น ระบบสแกนลายนิ้วมือ, การเฝ้าระวังตลอด 24 ชั่วโมง) เพื่อให้มั่นใจว่าข้อมูลจะถูกจัดเก็บอย่างปลอดภัย สามารถเข้าถึงได้ตลอดเวลา และระบบทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด
โดยหน้าที่หลักของ data center คือ
ถ้าพูดให้เข้าใจแบบง่ายๆ data center ก็คือ "สมอง" และ "หัวใจ" ของโลกดิจิทัล ที่เป็นแหล่งรวมข้อมูลและพลังประมวลผลที่จำเป็นสำหรับการทำงานของแอปพลิเคชัน เว็บไซต์ บริการคลาวด์ และทุกสิ่งที่เราใช้งานบนอินเทอร์เน็ตในชีวิตประจำวันนั่นเอง
ประเภทของ data center สามารถแบ่งออกได้หลายแบบ ขึ้นอยู่กับขนาด, ผู้เป็นเจ้าของ, และวัตถุประสงค์ในการใช้งานหลัก โดยทั่วไปแล้ว เราสามารถแบ่งได้เป็น 4 ประเภทหลักๆ ที่เข้าใจง่าย ดังนี้
นี่คือ data center ที่บริษัทหรือองค์กรสร้างขึ้นมาเพื่อใช้งานเองภายในโดยเฉพาะ ซึ่งผู้เป็นเจ้าของจะเป็นผู้บริหารจัดการเองทั้งหมด และไม่ได้ให้บริการแก่องค์กรหรือบุคคลภายนอก
ต่อกันด้วย data center ที่ดำเนินการโดยผู้ให้บริการภายนอก ซึ่งเป็นเจ้าของอุปกรณ์และโครงสร้างพื้นฐานทั้งหมด และยังรับผิดชอบในการบริหารจัดการ, บำรุงรักษา, และดูแลระบบให้แก่ลูกค้าไปพร้อมกัน
คือ data center ประเภทหนึ่งที่ผู้ให้บริการเป็นเจ้าของอาคาร, ระบบไฟฟ้า, ระบบทำความเย็น, และระบบรักษาความปลอดภัย แต่ลูกค้าจะเป็นคนที่นำเซิร์ฟเวอร์และอุปกรณ์เครือข่ายของตัวเองมาติดตั้งและดูแลเองภายในพื้นที่ที่เช่าเอาไว้
ปิดท้ายด้วย cloud data center ที่กำลังได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งให้บริการทรัพยากรด้านคอมพิวเตอร์ผ่านอินเทอร์เน็ตในรูปแบบของบริการคลาวด์ (เช่น Google Cloud, Amazon Web Services - AWS, Microsoft Azure) ผู้ใช้ไม่จำเป็นต้องเป็นเจ้าของหรือดูแลฮาร์ดแวร์ใดๆ เลย แค่เช่าใช้บริการตามความต้องการ
data center tier คือ ระบบการจัดระดับมาตรฐานของศูนย์ข้อมูล (data center) ที่พัฒนาโดย Uptime Institute ซึ่งเป็นองค์กรอิสระจากสหรัฐอเมริกา โดยมาตรฐานนี้ถูกนำมาใช้เพื่อประเมินและรับรองประสิทธิภาพ, ความน่าเชื่อถือ และความต่อเนื่องในการให้บริการของโครงสร้างพื้นฐานของดาต้าเซ็นเตอร์นั้นๆ
อาจกล่าวได้ว่า ยิ่งระดับ tier สูงเท่าไหร่ data center นั้นก็ยิ่งมีความพร้อมใช้งานสูงขึ้น รวมถึงมีระบบสำรองที่ซับซ้อนมากขึ้น และสามารถรับมือกับความผิดปกติหรือการหยุดทำงานได้ดีขึ้นเท่านั้น
การที่บริษัทเทคโนโลยีระดับโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่ม hyperscalers อย่าง Google, AWS, Microsoft, Alibaba Cloud และ TikTok หันมาลงทุน data center ในประเทศไทยและภูมิภาคอาเซียนจำนวนมาก มีหลายเหตุผลหลักที่สำคัญดังนี้
ตัวเลขล่าสุดจากองค์กรการเงินระหว่างประเทศ (IMF) คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จะเติบโตเฉลี่ยรวมกัน 4.5% ซึ่งการเติบโตของเศรษฐกิจในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ยังถือว่าเติบโตเป็นอันดับต้นๆ รองแค่ อินเดีย หรือ จีน เท่านั้น และคาดการณ์จากสถาบันการเงินต่างประเทศหลายแห่ง ยังมองว่าเศรษฐกิจในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จะเติบโตอย่างแข็งแกร่งในระยะยาวอีกด้วย
นอกจากนี้ ความต้องการของบรรดาธุรกิจต่างๆ ต่อการใช้ cloud computing, AI, และ IoT ที่พุ่งสูงขึ้นอย่างก้าวกระโดด ทั้งจากฝั่งผู้บริโภค ภาคธุรกิจ และภาครัฐบาลในภูมิภาคนี้ ล้วนเป็นตัวแปรที่ผลักดันให้ data center กลายเป็นโครงสร้างพื้นฐานสำคัญที่ขาดไม่ได้เลยในอนาคต
คณะกรรมาธิการกรรมการเศรษฐกิจและสังคมแห่งสหประชาชาติสำหรับเอเชียและแปซิฟิก (ESCAP) คาดการณ์ในปี 2023 ว่าประชากรในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีประชากร 687 ล้านคน ถือเป็นตัวเลขจำนวนไม่น้อย จุดนี้เองที่ทำให้บริษัทเทคโนโลยีทั้งหลายต่างหันมาให้ความสนใจในการทำธุรกิจเพื่อรองรับการขยายตัวของประชากรในภูมิภาคนี้
นอกเหนือไปจากจำนวนผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ตในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่ล่าสุดมีตัวเลขมากถึง 400 ล้านคน แต่เมื่อพิจารณาในเรื่องอัตราการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตยังอยู่ที่ 67.1% เท่านั้น และในแต่ละวันมีผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ตเพิ่มขึ้นถึงวันละ 125,000 ราย ทำให้คาดว่าเศรษฐกิจดิจิทัลในอาเซียนจะเติบโตเพิ่มขึ้นอีก 1 ล้านล้านเหรียญสหรัฐภายใน 10 ปีข้างหน้า
ปริมาณการใช้งานอินเทอร์เน็ตในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จากผู้ใช้งานยังถือว่าเติบโตต่อเนื่อง ตัวเลขในปี 2023 นั้นปริมาณการใช้ดาต้าต่อเครื่องในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อยู่ที่ 17 Gb และคาดว่าภายในปี 2030 จะเติบโตถึง 42 Gb ต่อเครื่อง เติบโตเฉลี่ย 16% ต่อปี
กฎหมายด้านอธิปไตยของข้อมูล (data sovereignty) ต้องการให้มีการตั้ง data center ภายในประเทศเพิ่มมากขึ้น ทำให้เกิดความมั่นใจว่าจะสอดคล้องกับกฎหมายของประเทศนั้นๆ เช่น กรณีของอินโดนีเซีย ที่มีกฎหมายออกมาในปี 2022 เพื่อต้องการเก็บข้อมูลของชาวอินโดนีเซียในประเทศ หรือประเทศอื่นที่มีการใช้กฎหมายดังกล่าว เช่น เวียดนาม มาเลเซีย เป็นต้น และกฎหมายดังกล่าวได้ทยอยออกมาเพิ่มขึ้นในหลายประเทศ
ขณะเดียวกันความต้องการที่จะเก็บข้อมูลภายในประเทศเพิ่มมากขึ้น (data localization) เนื่องจากความรวดเร็วของการส่งข้อมูลที่มากกว่าการเก็บข้อมูลไว้ในต่างประเทศ หรือแม้แต่ในเรื่องของความหน่วง (Latency) ซึ่งสำคัญสำหรับธุรกิจด้านการเงิน บริการเกม ฯลฯ
ปัจจัยข้างต้นจึงเป็นโอกาสของบริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่ในการเข้าถึงผู้ประกอบการ หรือแม้แต่โอกาสใหม่ๆ ทำให้มีเม็ดเงินรวมกันในระดับหลายแสนล้านบาทเข้ามาลงทุนหลายประเทศ ไม่ว่าจะเป็น สิงคโปร์ มาเลเซีย อินโดนีเซีย หรือแม้แต่ประเทศไทย นั่นเอง
ด้วยความที่ประเทศไทยตั้งอยู่ในจุดยุทธศาสตร์ของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จึงสามารถเชื่อมต่อโครงข่ายข้อมูลกับประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคได้อย่างมีประสิทธิภาพ อีกทั้งโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลที่แข็งแกร่งขึ้น ซึ่งทางรัฐบาลไทยได้ลงทุนในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลอย่างต่อเนื่อง ทั้งเครือข่ายอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง, 5G, และการเชื่อมต่อสายเคเบิลใต้น้ำ ก็ยังสำคัญสำหรับการดำเนินธุรกิจ data center อีกด้วย
ด้วยความที่ประเทศไทยมีความเสี่ยงต่อการเกิดภัยธรรมชาติที่ค่อนข้างต่ำ เมื่อเทียบกับบางประเทศในภูมิภาค ยังถือเป็นปัจจัยสำคัญที่บริษัทเทคโนโลยีชั้นนำของโลกใช้ในการตัดสินใจเลือกที่ตั้ง data center แห่งใหม่ เพื่อการให้บริการกับลูกค้าในภูมิอาเซียนได้อย่างต่อเนื่อง
นอกจากนี้ รัฐบาลไทยเองยังมีนโยบายและมาตรการส่งเสริมการลงทุน เช่น จาก BOI เพื่อดึงดูดบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่เข้ามาลงทุน โดยเล็งเห็นถึงประโยชน์ที่จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจดิจิทัล สร้างงาน และยกระดับขีดความสามารถด้านเทคโนโลยีของประเทศ
อีกทั้งในเรื่องของต้นทุนพลังงาน เช่น ค่าไฟฟ้าที่ค่อนข้างต่ำกว่า ตลอดจนการเข้าถึงแหล่งน้ำจำนวนมหาศาลได้อย่างสม่ำเสมอตลอดทั้งปี บวกกับเรื่องของแรงงานที่มีทักษะด้านไอทีในประเทศไทยและอาเซียนที่อยู่ในระดับที่น่าสนใจ ยังเป็นปัจจัยสำคัญที่เอื้อต่อการลงทุนสร้างดาต้าเซ็นเตอร์อีกด้วย
การทำความเข้าใจและเลือกใช้ดาต้าเซ็นเตอร์ที่เหมาะสม ถือเป็นกุญแจสำคัญที่ช่วยปลดล็อกศักยภาพทางธุรกิจของคุณ จริงอยู่ที่การตัดสินใจลงทุนหรือเลือกใช้บริการ data center นั้นไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะสิ่งนี้เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีที่ซับซ้อนและงบประมาณจำนวนมาก ที่ต้องใช้เพื่อโยกย้ายหรือสร้างโครงสร้างพื้นฐานทางข้อมูลสำหรับรองรับการขยายตัวของธุรกิจคุณ
หากคุณกำลังมองหาคำแนะนำ หรือไม่แน่ใจว่าโซลูชัน data center แบบใดที่จะตอบโจทย์ความต้องการและเป้าหมายทางธุรกิจของคุณในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้ดีที่สุด Seven Peaks มีความเชี่ยวชาญในด้านนี้ เราพร้อมให้คำปรึกษาและช่วยคุณวางแผนกลยุทธ์ด้านดาต้าเซ็นเตอร์ที่เหมาะสม ตั้งแต่บริการวิเคราะห์ข้อมูล หรือค้นหาความต้องการไปจนถึงการนำไปใช้งานจริง เพื่อให้ธุรกิจของคุณเติบโตได้อย่างมั่นคงในยุคดิจิทัล ปรึกษาเราตอนนี้