ในยุคที่ราคาน้ำมันดิบพร้อมพุ่งขึ้นและดิ่งลงได้ตลอดเวลา สิ่งนี้ได้สร้างแรงกดดันมหาศาลให้กับนักลงทุนและผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมน้ำมันและก๊าซ แต่ในเมื่อเราไม่สามารถควบคุมปัจจัยภายนอกอย่างกลไกราคาตลาดโลกได้ ทางออกเดียวที่จะทำให้ธุรกิจยืนหยัดอยู่อย่างมั่นคงคือการเปลี่ยนมุมมอง หันกลับมาโฟกัสสิ่งที่เราควบคุมได้เบ็ดเสร็จ นั่นคือการบริหารจัดการต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพภายในองค์กร เพื่อรับมือกับความเสี่ยงที่ไม่อาจคาดเดาได้
นี่จึงเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้เทคโนโลยีล้ำสมัยอย่าง AI และ IoT ไม่ได้เป็นเพียงทางเลือก แต่กลายเป็นหนึ่งในทางรอดสำหรับธุรกิจยุคใหม่ การนำนวัตกรรมเหล่านี้เข้ามาพลิกโฉมกระบวนการผลิต ตั้งแต่การคาดการณ์การซ่อมบำรุงเครื่องจักรไปจนถึงการเพิ่มประสิทธิภาพการขุดเจาะ จะช่วยลดค่าใช้จ่ายและยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขัน ช่วยให้ธุรกิจ oil & gas สามารถทำกำไรและเติบโตได้อย่างยั่งยืนท่ามกลางพายุแห่งความเปลี่ยนแปลงนี้
Seven Peaks จะพาคุณไปทำความเข้าใจมากขึ้นถึงปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับราคาน้ำมันโลก และไปดูว่าอะไรที่จะช่วยให้ธุรกิจน้ำมันและก๊าซธรรมชาติสามารถเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิต และสนับสนุนให้พนักงานใช้เวลาไปกับกิจกรรมที่มีคุณค่าต่อองค์กรมากกว่า
เวลาที่คุณขับรถเข้าไปเติมน้ำมัน เคยสงสัยไหมว่าทำไมน้ำมันแพง คำตอบไม่ได้อยู่ที่ปั๊มน้ำมันหน้าปากซอย แต่อยู่ที่กลไกราคาน้ำมันระดับโลกที่มีความซับซ้อน หากเรามองทะลุความผันผวนเข้าไป เราจะพบว่าแท้จริงแล้วมี 3 ตัวแปรหลักที่เป็นผู้กำหนดชะตากรรมของราคาพลังงานโลก ดังนี้
นี่คือกฎเหล็กทางเศรษฐศาสตร์ที่เป็นพื้นฐานของกลไกราคาน้ำมัน เปรียบเสมือนตาชั่งวัดความต้องการ
สงครามและความขัดแย้งไม่ใช่แค่เรื่องการเมือง แต่เป็นตัวแปรที่คาดเดายากที่สุดที่เขย่าตลาดพลังงาน โดยหน่วยงานสถิติและวิเคราะห์พลังงานของรัฐบาลสหรัฐฯ (EIA) เปิดเผยว่า ความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจและการเมือง เป็นปัจจัยหลักที่ทำให้ราคาน้ำมันผันผวนอย่างรุนแรงในปีที่ผ่านมา นอกจากนี้ยังมีเหตุผลเช่น
นี่คือปัจจัยใหม่ที่กำลังมีอิทธิพลสูงมาก และเป็นส่วนสำคัญของคำตอบว่าปัจจัยใดบ้างที่มีผลต่อราคาน้ำมันดิบในยุคปัจจุบัน
เมื่อพูดถึงราคาพลังงาน คำถามยอดฮิตที่ผู้บริโภคและภาคธุรกิจในไทยถามกันมากที่สุดคือ ทำไมน้ำมันแพง ทั้งที่ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกบางช่วงอาจปรับตัวลง สาเหตุนั้นเป็นเพราะโครงสร้างราคาน้ำมันสำเร็จรูปในประเทศไทยมีความซับซ้อน และประกอบไปด้วยต้นทุนหลายส่วนที่มากกว่าแค่เนื้อน้ำมัน
เพื่อให้เห็นภาพชัดเจน เราต้องเข้าใจกลไกราคาน้ำมันในประเทศไทยเสียก่อน ซึ่งประกอบด้วย 4 ส่วนหลัก ดังนี้
ดังนั้น คำตอบของทำไมน้ำมันแพงจึงไม่ได้อยู่ที่ราคาตลาดโลกเพียงอย่างเดียว แต่ยังขึ้นอยู่กับนโยบายการเก็บภาษีและการบริหารจัดการกองทุนน้ำมันในขณะนั้นด้วย
สำหรับภาคธุรกิจ แม้เราจะไม่สามารถควบคุมกลไกราคาน้ำมันหรือภาษีเหล่านี้ได้ แต่สิ่งที่เราควบคุมได้ 100% คือประสิทธิภาพการใช้งานและการผลิต ผ่านการนำเทคโนโลยีมาปรับใช้เพื่อลดความสูญเสียภายในองค์กรนั่นเอง
ในขณะที่เราไม่สามารถสั่งให้ราคาน้ำมันในตลาดโลกหยุดผันผวนได้ สิ่งเดียวที่ธุรกิจทำได้คือการหันกลับมามองบ้านของตัวเองว่ามีรอยรั่วตรงไหนบ้าง
โมเดลการผลิตแบบดั้งเดิมที่พึ่งพาความเชี่ยวชาญของมนุษย์ + เครื่องจักรระบบเก่า อาจเคยเป็นมาตรฐานที่ดีในอดีต แต่ในยุคที่ทุกวินาทีคือต้นทุน ระบบเดิมเหล่านี้กลับกลายเป็นตัวการสำคัญที่สร้างต้นทุนแฝง (hidden costs) มหาศาล ซึ่งกัดกินกำไรของบริษัทไปอย่างเงียบๆ โดยที่เราไม่รู้ตัว
แม้ประสบการณ์ของวิศวกรหน้างาน (driller) จะเป็นสิ่งล้ำค่า แต่เราปฏิเสธไม่ได้ว่ามนุษย์มีข้อจำกัดทางกายภาพ ไม่ว่าจะเป็นความเหนื่อยล้า ความเครียด หรือข้อจำกัดในการประมวลผลข้อมูลจำนวนมหาศาลพร้อมกัน
ฝันร้ายที่สุดของผู้ประกอบการ Oil & Gas ไม่ใช่ราคาน้ำมันตก แต่คือการที่แท่นขุดเจาะหยุดทำงาน และต่อจากนี้คือสิ่งที่เราจะอธิบายต่อไปว่าทำไมถึงเป็นแบบนั้น
เมื่อวิธีการแบบเดิมๆ เริ่มมาถึงทางตัน ทางรอดเดียวที่จะทำให้ธุรกิจ oil & gas สามารถรักษาอัตรากำไร ท่ามกลางความผันผวนของราคาตลาดโลกได้ คือการนำเทคโนโลยีเข้ามาเป็นหัวใจหลักในการขับเคลื่อนองค์กร การผสานพลังระหว่าง AI และ IoT ไม่ใช่เรื่องไกลตัวอีกต่อไป แต่มันคือเครื่องมือทรงพลังที่ช่วยเปลี่ยนความสูญเสียให้กลายเป็นผลกำไร ผ่านโซลูชันอัจฉริยะดังต่อไปนี้
นอกเหนือจากการใช้ IoT และ AI เพื่อทำนายการซ่อมบำรุงเครื่องจักรแล้ว เทคโนโลยี predictive analytics ยังคือกุญแจสำคัญที่เข้ามาปฏิวัติกระบวนการทำงานใน ห่วงโซ่อุปทาน (supply chain) ทั้งระบบให้เป็นอัตโนมัติและลื่นไหล ซึ่งสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันอย่างมหาศาล
การนำ AI และ machine learning (ML) มาวิเคราะห์ข้อมูลทั้งในอดีตและแบบเรียลไทม์ ช่วยให้ธุรกิจสามารถมองเห็นอนาคตและตอบสนองได้รวดเร็วยิ่งขึ้นใน 3 ด้านหลัก
ระบบสามารถทำนายความต้องการใช้น้ำมันในแต่ละพื้นที่ แต่ละประเภทเชื้อเพลิง ได้อย่างแม่นยำ ช่วยให้วางแผนการขนส่งและจัดการสต็อกสินค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ ลดระยะเวลาการขนถ่ายสินค้า และลดต้นทุนการถือครองสินค้าที่ไม่จำเป็น
AI ช่วยให้ผู้ค้าปลีกสามารถปรับเปลี่ยนราคาน้ำมันได้ทันทีตามสภาวะตลาด การเคลื่อนไหวของคู่แข่ง และพฤติกรรมลูกค้า ซึ่งกรณีศึกษาชี้ให้เห็นว่าการตัดสินใจด้วยข้อมูลนี้สามารถ เพิ่มส่วนต่างกำไรได้สูงถึง 3 เซนต์ต่อแกลลอน ในบางกลุ่มธุรกิจ
ด้วยการทำ predictive analytics ที่ครอบคลุมทุกเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการผลิตน้ำมันและก๊าซ สามารถคาดการณ์แนวโน้มการหยุดชะงักของซัพพลายเชนล่วงหน้า พร้อมแนะนำมาตรการรับมือได้ทันท่วงที และเมื่อมีการทำ predictive maintanance ก็ยิ่งช่วยลดความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นได้อีกด้วย
ในขณะที่มนุษย์อาจตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงของชั้นหินได้ช้าหรือมีความเหนื่อยล้า ระบบ ADO จะทำหน้าที่เหมือนนักบินผู้ช่วยที่ตื่นตัวตลอด 24 ชั่วโมง โดยระบบจะทำการวิเคราะห์ข้อมูลจากเซ็นเซอร์ก้นหลุมแบบเรียลไทม์ เพื่อคำนวณและสั่งการปรับค่าพารามิเตอร์ที่ซับซ้อนและสัมพันธ์กันอย่าง แรงกดหัวเจาะ (WOB - weight on bit) และ ความเร็วรอบ (RPM) โดยอัตโนมัติในระดับวินาทีต่อวินาที
เป้าหมายคือการค้นหาจุดสมดุลที่ดีที่สุด (sweet spot) หรือจุดที่ใช้พลังงานคุ้มค่าที่สุดในการเจาะหินชั้นนั้นๆ โดยหลีกเลี่ยงปัญหาทางเทคนิค เช่น การสั่นสะเทือนรุนแรง หรืออาการหัวเจาะติดขัด และแน่นอนว่าผลลัพธ์ที่ได้จากการใช้ ADO มีดังนี้
เมื่อเครื่องจักรทำงานในจุดที่เหมาะสมที่สุดตลอดเวลา อัตราการเจาะจึงเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ลดเวลาเช่าแท่นเจาะที่มีราคาสูงลิ่วให้ประหยัดงบประมาณได้มากขึ้น
การควบคุมที่นุ่มนวลและแม่นยำช่วยลดการกระแทกและการสึกหรอของหัวเจาะ ทำให้สามารถเจาะได้ระยะทางไกลขึ้นต่อหัวเจาะหนึ่งลูก ลดความถี่ในการหยุดงานเพื่อดึงก้านเจาะขึ้นมาเปลี่ยนหัว (tripping) ซึ่งช่วยประหยัดทั้งเงินและเวลาได้มหาศาล
ลดความเสี่ยงจาก human error และช่วยให้วิศวกรโฟกัสกับการควบคุมดูแลภาพรวมความปลอดภัยแทนการจดจ่อกับการบังคับเครื่องจักรเพียงอย่างเดียว
ธุรกิจที่มีมูลค่าการลงทุนสูงอย่างน้ำมันและก๊าซไม่สามารถอาศัยเพียงสัญชาตญาณได้อีกต่อไป เพราะถือเป็นเรื่องที่มีความเสี่ยงสูงสุดที่อาจทำให้สูญเสียทรัพยากรอันมีค่าไปอย่างน่าเสียดาย แต่ก็ยังมีทางเลือกที่น่าสนใจ อย่างการนำเทคโนโลยีสมัยใหม่เข้ามาใช้รวบรวม big data จากทุกแหล่งที่กระจัดกระจายกันอยู่ ตั้งแต่เซ็นเซอร์ก้นหลุมเจาะลึกหลายพันเมตร (OT data) ไปจนถึงข้อมูลทางการเงินในสำนักงานใหญ่ (IT data) จากนั้นนำทุกข้อมูลที่มีมาปรับใช้และแสดงผลรวมกันไว้บนแดชบอร์ดเดียว
แน่นอนว่าการทำเช่นนี้ไม่ใช่แค่การสร้างกราฟให้ออกมาดูสวยงามและเข้าใจง่ายเพียงอย่างเดียว แต่คือการสร้างแหล่งข้อมูลความจริงเพียงหนึ่งเดียวให้ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในองค์กรได้นำไปใช้อ้างอิง นอกจากนี้ ประโยชน์ที่จะได้รับจากการตัดสินใจด้วยการพิจารณานจากข้อมูลมีดังนี้
ผู้บริหารและทีมงานทุกฝ่ายมองเห็นภาพรวมสถานะของโครงการเดียวกัน ลดปัญหาข้อมูลไม่ตรงกันระหว่างแผนก ทำให้เห็นปัญหาที่ซ่อนอยู่ (bottlenecks) ได้ทันที
เมื่อข้อมูลเป็นแบบ real-time ผู้ตัดสินใจไม่ต้องรอรายงานสรุปปลายเดือน แต่สามารถเห็นความผิดปกติและสั่งการแก้ไข หรือปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ตามราคาน้ำมันในตลาดโลกได้ทันท่วงที
การตัดสินใจจะอยู่บนพื้นฐานของตัวเลขและสถิติที่พิสูจน์ได้ ไม่ใช่สมมติฐาน ช่วยลดความเสี่ยงในการลงทุนที่ผิดพลาด และสามารถคาดการณ์ผลกำไร (ROI) ของแต่ละโครงการได้อย่างแม่นยำยิ่งขึ้น
การก้าวเข้าสู่ยุค digital oilfield ไม่ใช่เพียงแค่การซื้อซอฟต์แวร์มาติดตั้ง แต่คือการปฏิรูปกระบวนการทำงานให้เชื่อมโยงกันทั้งระบบ ที่ Seven Peaks เราเข้าใจถึงความซับซ้อนและมาตรฐานความปลอดภัยที่เข้มงวดของธุรกิจพลังงานเป็นอย่างดี
เราไม่ใช่แค่ผู้พัฒนาซอฟต์แวร์ แต่คือพาร์ตเนอร์ผู้เชี่ยวชาญการทำ digital transformation ที่พร้อมทำงานร่วมกับคุณเพื่อออกแบบและพัฒนาโซลูชันที่ตอบโจทย์เฉพาะทาง ไม่ว่าจะเป็น
แม้เราจะไม่มีทางกำหนดปัจจัยใดบ้างที่มีผลต่อราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกได้ แต่สิ่งที่เราสามารถกำหนดได้ 100% คือต้นทุนและประสิทธิภาพภายในองค์กรของเราเองด้วยพลังของเทคโนโลยี
อย่าปล่อยให้ความผันผวนของตลาดเป็นผู้กุมชะตาชีวิตของบริษัทคุณ ถึงเวลาแล้วที่จะสร้างเกราะป้องกันทางธุรกิจที่แข็งแกร่งด้วยนวัตกรรมที่เหนือกว่า ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญจาก Seven Peaks วันนี้ เพื่อเริ่มต้นวางกลยุทธ์และสร้างสรรค์โซลูชันที่จะช่วยให้คุณลดต้นทุน เพิ่มกำไร และเติบโตได้อย่างยั่งยืนในยุคดิจิทัล