ในการแข่งขันที่ดุเดือดของการพัฒนาแอปพลิเคชันหรือเว็บไซต์ประเภทต่างๆ ในยุคนี้ แรงกดดันที่ทำให้เราอยากจะกระโดดไปเริ่มเขียนโค้ด ออกแบบ และลงมือสร้างทันทีนั้นมีสูงมาก ทุกทีมต่างก็กระตือรือร้นที่อยากจะรีบปล่อยของออกสู่ตลาด แต่การรีบร้อนสร้างโดยยึดตามสมมติฐานที่ยังไม่ผ่านการทดสอบ มักจะทำให้เราข้ามขั้นตอนแรกที่สำคัญที่สุดไป ซึ่งอาจนำไปสู่ความล้มเหลวที่รุนแรงและมีราคาแพงมหาศาล ขั้นตอนที่จำเป็นและข้ามไม่ได้เลยนี้ก็คือ product discovery นั่นเอง
product discovery ไม่ใช่แค่เรื่องฟุ่มเฟือยหรือสิ่งที่ทำไว้แค่ให้ครบเช็กลิสต์ แต่มันคือการลงทุนทางธุรกิจที่ฉลาดที่สุดที่องค์กรจะทำได้ เพราะนี่คือกระบวนการหลักที่ทำให้เกิดแนวคิด "ล้มให้ไว เจ็บให้น้อย" (fail fast, fail cheap) ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของการบรรลุผลสำเร็จในตลาดที่ยั่งยืนอย่างแท้จริง
แนวทางการปล่อยแอปพลิเคชันหรือเว็บไซต์ใหม่แบบเดิมๆ ที่ยึดเอาความเชื่อเป็นหลัก มักจะเหมือนกับการปาลูกดอกในความมืด เริ่มจากมีไอเดีย มีการจัดสรรทรัพยากร และทุ่มเทแรงกายแรงใจนานหลายเดือนเพื่อสร้างมันขึ้นมาอย่างละเอียด แต่พอถึงเวลาเปิดตัวจริงๆ ความจริงที่เจ็บปวดมักจะปรากฏให้เห็น ไม่ว่าจะเป็นผู้ใช้งานไม่ได้ต้องการโซลูชันนั้นจริงๆ พวกเขาไม่เข้าใจคุณค่าของมัน หรือโปรดักต์นั้นเข้ากับโมเดลธุรกิจไม่ได้เลย ผลลัพธ์แบบนี้ไม่ใช่การ "ล้มให้ไว" แต่มันคือความล้มเหลวที่ทั้งช้าและแพง เพราะมันกัดกินทั้งเงินทุนและกำลังใจของคนทำงานไปมหาศาล
ต้นทุนที่แท้จริงของการข้ามขั้นตอนการทำ product discovery อย่างละเอียด ประกอบด้วย
วงจรแบบนี้คือขั้วตรงข้ามของคำว่ามีประสิทธิภาพ แต่มันคือ "ล้มอย่างช้าๆ และเจ็บอย่างหนัก"
product discovery คือกระบวนการที่เป็นระบบและเน้นหลักฐานเชิงประจักษ์ ซึ่งถูกออกแบบมาเพื่อระบุ พิสูจน์ และลดความเสี่ยงของไอเดียโปรดักต์อย่างเต็มที่ ก่อนที่จะตัดสินใจทุ่มทรัพยากรเพื่อพัฒนามันในสเกลใหญ่ มันเปรียบเสมือนกรมธรรม์ประกันภัยที่สำคัญ โดยการบังคับให้เราตอบคำถามพื้นฐานเหล่านี้ให้ได้
ด้วยการค้นหาคำตอบเหล่านี้ตั้งแต่เนิ่นๆ product discovery จะช่วยให้แน่ใจว่าทรัพยากรจะถูกนำไปใช้กับปัญหาที่มีความต้องการในตลาดจริงๆ ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงลงได้มาก
คุณค่าแฝงของการทำ product discovery อย่างละเอียดคือความสามารถในการรองรับโมเดล "ล้มให้ไว เจ็บให้น้อย" แทนที่จะต้องรอสร้างแอปฯ หรือเว็บไซต์จนเสร็จเพื่อทดสอบสมมติฐาน product discovery จะใช้เทคนิคที่คล่องตัวแบบ Agile เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดโดยใช้การลงทุนที่ต่ำ
|
วิจัยผู้ใช้ในช่วงเริ่มต้น |
ทำการสัมภาษณ์และทำแบบสำรวจต้นทุนต่ำเพื่อทำความเข้าใจ pain point ของผู้ใช้ก่อนจะสร้างโซลูชันใดๆ ถ้าปัญหานั้นไม่มีอยู่จริง คุณก็ได้ "ล้มให้ไว" ตั้งแต่สมมติฐานหลักแล้ว |
|
ทำตัวต้นแบบที่มีความละเอียดต่ำ (Low-Fidelity Prototyping) |
สร้างภาพร่างคร่าวๆ ไวร์เฟรม หรือม็อกอัปที่คลิกได้ สิ่งเหล่านี้มีราคาถูกในการสร้าง และถูกยิ่งกว่าถ้าต้องทิ้งมันไปเมื่อฟีดแบ็กจากผู้ใช้งานออกมาในแง่ลบ |
|
วางแผนและทดสอบสมมติฐาน |
ลิสต์สมมติฐานที่เสี่ยงที่สุดออกมาให้ชัดเจน (เช่น โมเดลราคา) และออกแบบการทดลองเล็กๆ ที่เจาะจง (เช่น A/B Testing หรือหน้า landing page) เพื่อพิสูจน์หรือหักล้างสมมติฐานเหล่านั้นอย่างรวดเร็ว |
|
กลยุทธ์ MVP ที่ผ่านการกลั่นกรอง |
product discovery ช่วยเปลี่ยนแนวคิดเรื่อง MVP (minimum viable product) จากการเป็นโปรดักต์ที่เล็กที่สุดที่สร้างได้ มาเป็นโปรดักต์ที่เล็กที่สุดที่จำเป็นต้องมีเพื่อพิสูจน์ความต้องการของผู้ใช้และมูลค่าทางธุรกิจ ยิ่งความล้มเหลวเล็กเท่าไหร่ ต้นทุนก็ยิ่งต่ำเท่านั้น |
|
พิสูจน์โมเดลธุรกิจ |
ใช้เครื่องมืออย่าง business model canvas เพื่อทดสอบตรรกะทางการเงินของโปรดักต์บนกระดาษ เพื่อหาปัญหาเรื่องกำไรที่อาจเกิดขึ้น ก่อนที่จะเริ่มเขียนโค้ดแม้แต่บรรทัดเดียว |
เมื่อไอเดีย ฟีเจอร์ หรือการดีไซน์พิสูจน์แล้วว่ามีข้อบกพร่อง product discovery จะให้หลักฐานที่จำเป็นในการตัดสินใจเปลี่ยนทิศทาง (pivot) ปรับปรุง หรือยกเลิกมันอย่างรวดเร็ว เพื่อไม่ให้มันกลายเป็นตัวดูดทรัพยากรราคาแพง
การใช้เวลาและแรงกายไปกับ product discovery ไม่ใช่เรื่องของการทำให้ช้าลง แต่มันคือการสร้างความเร็วที่ถูกต้องและสร้างแรงขับเคลื่อนที่มีประสิทธิภาพ ผลตอบแทนจากการลงทุน (ROI) ของขั้นตอน discovery นั้นชัดเจนและสำคัญมาก
ในตลาดที่มีการแข่งขันสูงแบบนี้ เราไม่สามารถใช้แนวคิด "สร้างไปก่อนเดี๋ยวคนก็มาเอง" ได้อีกแล้ว ทางเลือกที่ฉลาดที่สุดคือการลงทุนใน product discovery อย่างละเอียด โดยใช้แนวทาง "ล้มให้ไว เจ็บให้น้อย" เป็นขั้นตอนที่จำเป็นสำหรับการสร้างธุรกิจดิจิทัลที่ประสบความสำเร็จและยั่งยืน