ในโลกของการออกแบบและพัฒนาดิจิทัลโปรดักต์ การร่วมงานกับบริษัทจากหลากหลายอุตสาหกรรมถือเป็นเรื่องปกติ ซึ่งแต่ละบริษัทต่างก็มีวิสัยทัศน์ เป้าหมายทางธุรกิจ และรูปแบบการทำงานที่แตกต่างกันออกไป ที่ Morphosis บริษัทที่ปรึกษาด้านดีไซน์ในเครือ Seven Peaks เรามีประสบการณ์ครอบคลุมตั้งแต่ user experience (UX) ของแอปฯ ธนาคาร ไปจนถึงการ user interface (UI) ของแพลตฟอร์มการศึกษาออนไลน์
การทำงานร่วมกันระหว่างทีมหลายสายงานต้องอาศัยการปรับตัวให้เข้ากับขอบเขตและความต้องการของลูกค้าอยู่เสมอ เพื่อให้โปรเจกต์สามารถเดินหน้าได้อย่างราบรื่น บางงาน ทีมจะช่วยลูกค้ากำหนดกรอบและสร้างดิจิทัลโปรดักต์ให้ตอบโจทย์มากขึ้น ขณะที่บางงานอาจมุ่งเน้นการปรับปรุง UI ของโปรดักต์ที่มีฐานผู้ใช้อยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นโปรเจกต์เล็กหรือใหญ่ สิ่งที่ทำให้ทีมสามารถรับมือกับความหลากหลายนี้ได้ คือการใช้กระบวนการและเครื่องมือที่เน้น “การทำงานร่วมกัน” อย่างแท้จริง
แม้แต่ละทีมจะมีมาตรฐานและวิธีการทำงานของตนเอง แต่สิ่งสำคัญคือการปรับให้สอดคล้องกับความต้องการของลูกค้า ขอบเขตงาน และเป้าหมายสุดท้าย
หัวหน้าทีมควรพูดคุยเพื่อสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับ
เพื่อให้การทำงานร่วมกันระหว่างลูกค้าและทีมงานราบรื่น ควรกำหนดทั้งบทบาท ความรับผิดชอบ รวมถึงเครื่องมือและกระบวนการที่เหมาะสม
ถ้าขาดเครื่องมือหรือช่องทางการสื่อสารที่ชัดเจน ก็ยากที่จะทำให้ทุกฝ่ายเข้าใจตรงกัน และเมื่อเป้าหมายไม่สอดคล้องกัน คุณภาพของผลลัพธ์ย่อมได้รับผลกระทบโดยตรง
การสื่อสารที่ผิดพลาดภายในทีมก่อให้เกิดปัญหาตามมา เช่น designer สร้าง UI ที่ซับซ้อนเกินไปจน developer ไม่สามารถพัฒนาได้ หรือในทางกลับกัน developer พัฒนาระบบที่ไม่สอดคล้องกับ branding ของลูกค้า ซึ่งส่งผลให้ UX ขาดความต่อเนื่อง
พยายามสร้างพื้นที่ที่ทีมออกแบบและทีมพัฒนาสามารถสื่อสารได้อย่างเสรีเพื่อช่วยลดความสับสนหรือคลาดเคลื่อนในการส่งต่องาน อีกทั้งยังทำให้ developer สามารถทำงานได้อย่างราบรื่นและมีประสิทธิภาพมากขึ้น
developer ควรมีส่วนร่วมในการออกความคิดเห็นและให้ข้อเสนอแนะตั้งแต่เวอร์ชันแรก ๆ ของงานออกแบบ ขณะเดียวกัน เมื่อมีการกำหนด design system และเทมเพลต นักออกแบบก็ควรเริ่มพูดคุยกับ developer ก่อนเริ่มงาน เพื่อร่วมกันกำหนดขอบเขตของโปรดักต์ที่สามารถสร้างได้จริง อีกทั้งนักออกแบบยังควรใส่คำอธิบายกำกับในจุดที่อาจไม่ชัดเจน เพื่อให้ทีมพัฒนาเข้าใจ UI ได้อย่างถูกต้อง
แม้แต่รายละเอียดเล็ก ๆ อย่างการตั้งชื่อไฟล์หรือการจัดโครงสร้างไฟล์ ก็มีส่วนช่วยให้การทำงานระหว่างทีมและลูกค้าเป็นไปอย่างราบรื่นและชัดเจนยิ่งขึ้น
สำหรับโปรเจกต์ขนาดใหญ่ อาจต้องใช้โครงสร้างไฟล์ที่ซับซ้อนกว่า ขณะที่โปรเจกต์ขนาดเล็กสามารถจัดการได้ง่ายกว่า แต่ไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่เพียงใด การจัดโครงสร้างไฟล์ก็เป็นสิ่งจำเป็นที่ต้องปรับให้เหมาะสมตามบริบทของงาน และยิ่งมีความสำคัญมากเมื่อมีการสร้าง design system เพราะเกี่ยวข้องกับการตั้งชื่อและการจัดระเบียบไฟล์อื่น ๆ ให้สอดคล้องกันด้วย
เช่นเดียวกับทุกขั้นตอนของการพัฒนาโปรดักต์ การจัดการไฟล์ที่ดีในกระบวนการออกแบบ UX ช่วยเสริมการสื่อสารระหว่างทีมและลูกค้าให้ชัดเจนขึ้น และทำให้การส่งมอบงานเป็นไปอย่างราบรื่น
หนึ่งในคุณสมบัติที่มักถูกมองข้ามของ Figma คือบทบาทในฐานะ เครื่องมือสื่อสารที่ทรงพลัง ไม่ว่าจะเป็น product owner, designer, developer หรือ stakeholder ของลูกค้า ทุกฝ่ายสามารถใช้ Figma เพื่อให้ข้อเสนอแนะและทำงานร่วมกันได้ตั้งแต่เริ่มต้นโปรเจกต์ไปจนถึงขั้นตอนการส่งมอบงาน
ในฐานะแพลตฟอร์มอเนกประสงค์ Figma ไม่ได้หยุดอยู่แค่การออกแบบ UI เท่านั้น แต่มันยังถูกใช้เป็นพื้นที่สำหรับทำ sprint retrospective การบันทึกเวอร์ชันต่าง ๆ รวมถึงการตรวจสอบและเพิ่ม use case ได้ด้วย ข้อเสนอแนะหรือประเด็นที่ถูกยกขึ้นมา จะถูกเก็บบันทึกและนำไปต่อยอดอย่างเป็นระบบ ยิ่งไปกว่านั้น การมี design system เป็น asset กลางใน Figma จะช่วยให้การพัฒนาโปรดักส์สอดคล้องและอยู่ในทิศทางเดียวกับแบรนด์เสมอ
การให้คนที่ไม่ใช่นักออกแบบเข้ามาใช้ “เครื่องมือออกแบบ” อาจดูซับซ้อนในตอนแรก แต่จริง ๆ แล้ว แค่ช่วยให้แต่ละคนเข้าใจสิ่งที่เกี่ยวข้องกับงานของตนเองก็เพียงพอที่จะทำให้ทุกฝ่ายได้ประโยชน์แล้ว เช่น ทำให้นักพัฒนาคุ้นเคยกับ dev mode หรือแนะนำลูกค้าให้เข้าใจกระบวนการคอมเมนต์ และเมื่อทุกคนรู้วิธีใช้เครื่องมือในส่วนที่เกี่ยวข้องกับตนเอง Figma ก็จะกลายเป็นจุดเชื่อมสำคัญที่ทำให้ทีมเดินไปในทิศทางเดียวกัน
Figma เป็นแพลตฟอร์มที่ช่วยให้ designer, developer และ stakeholder ทำงานอย่างสอดคล้องและมีประสิทธิภาพมากขึ้น เมื่อผสานการใช้เครื่องมือเข้ากับกระบวนการที่ปรับตามความต้องการของลูกค้าและเป้าหมายทางธุรกิจ ก็จะสามารถสร้าง UX ที่มีคุณภาพสูง และผลักดันให้ดิจิทัลโปรดักต์ประสบความสำเร็จได้จริง