หลายองค์กรต่างรีบโกยข้อมูลเข้าสู่ data warehouse เพื่อป้อนให้ AI ช่วยสร้างแอปพลิเคชันอัจฉริยะ (intelligent apps) โดยหวังจะตามเทรนด์และสร้างโปรดักต์ที่รู้ใจลูกค้า แต่ในอีกด้านหนึ่ง การเปิดประตูรับเอาข้อมูลจำนวนมหาศาลแบบนี้เท่ากับเป็นการเปิดจุดอ่อนให้ความเสี่ยงไหลเข้าสู่ระบบโดยไม่รู้ตัว ยิ่งในยุคนี้ การโจมตีและจารกรรมข้อมูลทางไซเบอร์มีความซับซ้อนและรุนแรงมากยิ่งขึ้น ความเสี่ยงจึงยิ่งสูงลิ่ว
รายงาน IBM Cost of a Data Breach Report 2025 เผยว่ามูลค่าความเสียหายเฉลี่ยจากการทำข้อมูลหลุดรั่วพุ่งไปถึง 4.44 ล้านดอลลาร์เลยทีเดียว แต่ข่าวดีก็คือ รายงานเดียวกันบอกว่าองค์กรที่ใช้ AI และระบบอัตโนมัติมาดูแลความปลอดภัยอย่างจริงจัง สามารถช่วยลดความเสียหายไปได้เฉลี่ยถึง 1.9 ล้านดอลลาร์ นี่คือสัญญาณที่ชัดเจนว่า ถ้าอยากจะสเกลแอปฯ ให้โตได้อย่างปลอดภัย เราต้องเลิกใช้ระบบความปลอดภัยแบบเดิมๆ แล้วหันมาใช้กลยุทธ์ที่ดีกว่าแทน
กลยุทธ์ที่ว่าก็คือการรักษาความปลอดภัยตามแนวคิด zero trust นั่นเอง ซึ่งเราได้รวบรวมรายละเอียดที่คุณควรรู้ไว้ในบทความนี้แล้ว
ก่อนจะไปรู้วิธีป้องกันข้อมูล เราต้องเข้าใจหัวใจสำคัญของความปลอดภัยยุคใหม่ก่อน นั่นคือ zero trust
หลายสิบปีที่ผ่านมา บริษัทส่วนใหญ่ใช้แนวคิดระบบความปลอดภัยแบบ "ปราสาทและคูเมือง" (castle and moat) คือเหมาเอาว่าอะไรที่อยู่นอกรั้วบริษัท (คูเมือง) คือตัวอันตราย แต่ใครก็ตามที่เข้ามาในรั้วได้แล้ว (ปราสาท) แปลว่าเป็นคนกันเอง ไว้ใจได้หมด แค่มีบัตรพนักงานหรือรหัสผ่านก็เดินเข้าออกได้ทุกห้อง
แต่ zero trust บอกว่าแนวคิดเดิมนั้นผิดถนัด แนวคิดนี้ยึดกฎเหล็กข้อเดียวเลยคือ "never trust, always verify" หมายความว่า ไม่ไว้ใจใครทั้งนั้น และต้องตรวจสอบเสมอ เพราะระบบเครือข่ายข้อมูลในยุคปัจจุบันมักไม่ได้อยู่รวมกันในศูนย์กลางเดียว แต่มีการกระจายตัวไปในหลายพื้นที่ รวมถึงอุปกรณ์ที่ใช้ล็อกอินก็มาจากหลากหลายที่มา ซึ่งสิ่งเหล่านี้ได้รับอิทธิพลจากระบบคลาวด์ บวกกับสไตล์การทำงานแบบ work from home และ hybrid ที่ได้รับความนิยมนั่นเอง
ในโลกของ zero-trust network security ระบบจะคิดเผื่อไว้เลยว่าเราอาจจะโดนเจาะแล้วก็ได้ ดังนั้น ไม่ว่าจะเป็นคน อุปกรณ์ หรือแอปพลิเคชัน จะอยู่ข้างในหรือข้างนอกบริษัท ก็จะไม่ได้รับความไว้ใจโดยอัตโนมัติ ทุกครั้งที่จะขอเข้าถึงข้อมูล ต้องมีการตรวจสอบใหม่อย่างละเอียดทุกรอบ และเมื่อใดที่ตรวจพบความปกติ แม้ว่า user นั้นจะล็อกอินเข้ามาได้ ก็จะถูกตัดออกจากระบบทันที
นอกจากการตรวจสอบแล้วจะมีการแบ่งเครือข่ายออกเป็นกลุ่มย่อยๆ เพื่อป้องกันการแพร่กระจายของการโจมตี มีการเข้ารหัสข้อมูลเอาไว้เพื่อป้องกันการเข้าถึงที่ไม่ได้รับอนุญาต และมีการจำกัดเวลาในการเข้าถึงอีกด้วย
ปัญหาคือหลายบริษัทเอา zero trust ไปใช้แค่กับระบบเครือข่าย เช่น บังคับทำ MFA (multi-factor authentication) SSO (single sign-on) และ VPN (virtual private network) เป็นต้น แต่ดันลืมใช้กับตัวข้อมูลใน data warehouse ปัญหาก็คือ
zero-trust data warehouse คือการยกปรัชญา "ไม่เชื่อใจใคร" ลงไปใส่ในถังเก็บข้อมูลโดยตรง
มันเปลี่ยนวิธีคิดของระบบจาก "ฉันให้คุณเข้า เพราะคุณต่อ VPN บริษัทอยู่" เปลี่ยนเป็น "ฉันไม่สนว่าคุณเป็นใคร หรือนั่งอยู่ที่ไหน ฉันจะต้องให้คุณยืนยันตัวตน เช็กความปลอดภัยเครื่อง และเช็กเจตนาของคุณ สำหรับข้อมูลทุก row ที่คุณพยายามจะอ่าน"
แบบนี้ความปลอดภัยจะติดตัวไปกับข้อมูลเลย ต่อให้แฮ็กเกอร์มุดไฟร์วอลล์เข้ามาได้ ก็จะเจอแต่ข้อมูลที่ถูกล็อกและเข้ารหัสไว้ อ่านไม่ออก และทำอะไรไม่ได้ถ้าไม่มีสิทธิ์เข้าถึงไฟล์ข้อมูลดังกล่าว
การล็อกอินไม่ใช่ทำครั้งเดียวจบ ระบบต้องคอยจับตาดูบริบทตลอดเวลา และมีการตรวจสอบพฤติกรรมว่าเหมือนเดิมหรือเปล่า เช่น ปกติ user คนนี้โหลดข้อมูลทีละ 50 แถว แต่วันดีคืนดีพยายามจะโหลดข้อมูล 1 ล้านแถว ระบบต้องรู้ทันทีว่า ผิดปกติ และบล็อกคำขอนั้นทันที แม้รหัสผ่านจะถูกต้องก็ตาม
เลิกให้สิทธิ์แบบเหมาเข่ง เพราะการให้สิทธิ์การเข้าถึงต้องละเอียดกว่านั้น
หนึ่งในเทคนิคสำหรับการทำ intelligent apps ให้ปลอดภัย หน้าตาข้อมูลจะเปลี่ยนไปตามตัวตนและบริบทของผู้ใช้ เช่น
วิธีนี้ทำให้ AI ยังทำงานได้ปกติ จับแพตเทิร์นได้ วิเคราะห์เทรนด์ได้ โดยที่ไม่ต้องแตะต้องข้อมูลส่วนตัวจริงๆ ให้เสี่ยงผิดกฎหมาย
การทำ zero-trust data warehouse ไม่ใช่แค่เรื่องกันขโมย แต่ยังช่วยได้อีกหลายด้าน เช่น
สำหรับผู้บริหารที่อยากเริ่มต้น ขอแนะนำโรดแมป 3 ขั้นตอนง่ายๆ ได้ดังนี้
หลังทำ 3 ขั้นตอนนี้แล้ว สามารถปรึกษาผู้เชี่ยวชาญเพื่อปรับใช้ policy แบบละเอียดและ automation ต่อได้
การสร้าง zero-trust data warehouse อาจดูเป็นเรื่องใหญ่ แต่คุณไม่จำเป็นต้องลุยคนเดียว ที่ Seven Peaks เราเชี่ยวชาญเรื่องการสร้างแพลตฟอร์มข้อมูลบนคลาวด์ที่ทันสมัย ปลอดภัย และรองรับการเติบโตได้จริง
ไม่ว่าคุณอยากจะให้เราช่วยตรวจความปลอดภัยข้อมูล หรือวางแผนสถาปัตยกรรมใหม่สำหรับ intelligent apps ทีมงานของเราพร้อมดูแลคุณ ติดต่อ Seven Peaks เลย