การทำงานทั้งแบบ Agile และ Waterfall คือวิธีในการพัฒนาซอฟต์แวร์ ที่ใครๆ ต่างก็รู้จักกันเป็นอย่างดี ซึ่งทั้งสองวิธีนี้ล้วนมีจุดประสงค์ที่แตกต่างกัน บทความนี้จึงมีเป้าหมายเพื่ออธิบายถึงความแตกต่างกันระหว่างวิธีการทำงานแบบ Agile กับ Waterfall เริ่มตั้งแต่ข้อดีและข้อเสียของสองวิธีนี้ รวมถึงเจาะลึกให้คุณเข้าใจว่าโปรเจกต์แบบไหนบ้างที่เหมาะกับวิธีการเหล่านี้ ด้วยการแยกประเภทให้คุณเข้าใจได้ง่ายๆ
ทั้งสองเป็นวิธีการพัฒนาซอฟต์แวร์นี้คือแนวทางการทำงานที่เป็นระบบซึ่งช่วยเสริมความแข็งแกร่งของการสื่อสารภายในทีม เพราะช่วยให้ทุกคนทีมพัฒนาซอฟต์แวร์สามารถทำงานร่วมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
โดยในตอนนี้มีการถกเถียงกันเป็นวงกว้าง ว่าวิธีใดเป็นวิธีการทำงานที่ดีที่สุด ซึ่งสิ่งที่สามารถบอกได้ตรงนี้เลยก็คือ แต่ละโปรเจกต์ย่อมมีวิธีในการแก้ปัญหาที่แตกต่างกันไป ไม่สามารถใช้วิธีเดียวเพื่อแก้ปัญหาได้สำหรับทุกโปรเจกต์
ดังนั้น เราจึงจะพาคุณไปเรียนรู้ว่าระหว่างวิธีการทำงานแบบ Agile กับ Waterfall ควรเลือกใช้วิธีไหนถึงจะเหมาะสมกับโปรเจกต์ของคุณ พร้อมแล้วมาดูกันได้เลย!
Agile เป็น วิธีการทำงานรูปแบบหนึ่งที่นิยมใช้สำหรับการพัฒนาแอปพลิเคชันให้สำเร็จอย่างรวดเร็ว แทนที่ขั้นตอนแบบเดิมๆ ที่ทุกอย่างถูกกำหนดไว้ตายตัว ซึ่งด้วยวิธีการทำงานแบบ Agile โปรเจกต์พัฒนาซอฟต์แวร์จึงสามารถเริ่มต้นได้เร็วมาก เพียงแค่กำหนดความต้องการเบื้องต้นสองถึงสามข้อหลัก จากนั้นจึงค่อยพัฒนาไปสู่ขั้นตอนต่อไป เช่น การออกแบบ การพัฒนา การทดสอบ และการปรับใช้
หลังจากขั้นตอนการปรับใช้ ทีมพัฒนาซอฟต์แวร์จะรวบรวมฟีดแบ็กที่มีทั้งหมดเพื่อนำมาสร้างข้อกำหนดใหม่สำหรับการอัปเดตครั้งต่อไป โดยทีมเหล่านี้จะต้องย้อนกลับไปทำงานในขั้นตอนที่เคยทำมาแล้วก่อนหน้านี้ และเราเรียกวงกลมนี้ว่า ‘sprint’ นั่นเอง
การทำงานในรอบนี้จะดำเนินต่อไปจนกว่าผลิตภัณฑ์ขั้นสุดท้าย (final product) จะได้รับการอนุมัติ ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีวิธีอื่นๆ อีกมากมายในการประยุกต์ใช้วิธีการทำแบบ Agile ในโปรเจกต์ต่างๆ เช่น scrum, kanban, และ extreme programming เป็นต้น
“การพัฒนาผลิตภัณฑ์ด้วยวิธีการทำงานแบบ Agile ช่วยให้คุณกำหนดเป้าหมายและสร้างมูลค่าให้กับผลิตภัณฑ์นั้นๆ ได้ทันที โดยในช่วงเวลาดังกล่าว เราสามารถมองหาวิธีแก้ไขปัญหาได้อย่างต่อเนื่องและรับรู้ถึงปัญหาที่เกิดขึ้นมาในแบบเรียลไทม์” คุณ Roy Ivar Moe, CTO ของ Seven Peaks Software ได้อธิบายให้เข้าใจมากขึ้น
Agile แตกต่างจากวิธีการทำงานแบบ Waterfall ตรงที่ต้องการสมาชิกในทีมที่มาจากสายงานที่ต่างกันซึ่งประกอบไปด้วยผู้มีส่วนได้ส่วนเสียและทีมพัฒนาที่สามารถทำงานร่วมกันได้อย่างใกล้ชิด ดังนั้นสิ่งนี้จึงช่วยให้สามารถปรับเปลี่ยนสิ่งต่างๆ ได้ในระหว่างการพัฒนาโครงการ ทั้งยังเอื้อต่อการนำเสนอแนวคิดใหม่และการสนับสนุนซึ่งกันและกันเพื่อส่งมอบผลิตภัณฑ์ขั้นสุดท้ายที่ดีที่สุด
การพัฒนาโปรเจกต์ด้วย Agile นั้นเร็วพอๆ กับชื่อเลย เพราะเปิดโอกาสให้สามารถพัฒนาและปรับใช้ผลิตภัณฑ์ได้เร็วกว่า เนื่องจากเป็นวิธีการทำงานที่ข้ามขั้นตอนการวางแผนโปรเจกต์ที่มักใช้เวลา 1-4 เดือน รวมถึงการจัดทำรายละเอียดของโครงสร้างพื้นฐานและการจัดทำเอกสารในขั้นตอนเริ่มต้น จึงเหลือเวลาและพลังงานที่ใช้ในการพัฒนาและแก้ไขผลิตภัณฑ์ซอฟต์แวร์ในแต่ละรอบมากขึ้น
เนื่องจากวิธีการทำงานแบบ Agile จะแบ่งงานออกเป็น sprint จึงถือได้ว่าเป็นโซลูชันที่เหมาะสำหรับการเปลี่ยนแปลงที่ต้องเกิดขึ้นในทันทีและใช้เพื่อจัดการกับปัญหาที่เข้ามาได้เป็นอย่างดี ซึ่งปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นก็จะได้รับการแก้ไขใน Sprint ถัดไป และลูกค้ายังสามารถติดตามความคืบหน้าของการพัฒนาซอฟต์แวร์ได้ตลอดเวลา ซึ่งช่วยลดโอกาสที่โปรเจกต์จะล้มเหลวได้อย่างมีประสิทธิภาพ
“เรากำลังทำการปรับปรุงวิธีการทำงานที่สามารถติดตามและวัดผลได้อย่างมีประสิทธิภาพในตลอดช่วงที่โปรเจกต์กำลังเดินหน้า” – คุณ Roy Ivar Moe
Agile ต้องการความมุ่งมั่นอย่างมาก จากสมาชิกในทีมทุกคน เนื่องจากมีความจำเป็นที่ต้องปรับตัวและสื่อสารกันอยู่บ่อยครั้ง การมีส่วนร่วมอย่างจริงจังจากสมาชิกในทีมและผู้ใช้ปลายทางจึงเป็นสิ่งที่จำเป็น โดยทั้งทีมต้องพร้อมที่จะอุทิศเวลา สร้างความไว้วางใจ และมีส่วนร่วมในการสร้างผลิตภัณฑ์ขึ้นมา
Agile อาจ ไม่เหมาะสำหรับโปรเจกต์ที่ต้องเก็บบันทึกข้อมูลอย่างจริงจังและมีความอ่อนไหวสูง เช่น เรื่องสุขภาพและโครงการที่รัฐบาลกำลังจะทำ เนื่องจากการจัดทำเอกสารมักจะไม่เป็นไปตามวิธีการทำงานแบบ Agile
ในวิธีการพัฒนาซอฟต์แวร์แบบ Agile นั้น ผลิตภัณฑ์ขั้นสุดท้ายอาจแตกต่างจากที่ตั้งไว้ในวิสัยทัศน์แรกเริ่มของโปรเจกต์ เนื่องจากในตอนเริ่มแผนการทำงานแบบ Agile จะยังไม่ได้มีการกำหนดในส่วนนี้ ดังนั้นผลิตภัณฑ์ขั้นสุดท้ายที่แท้จริงจึงขึ้นอยู่กับสิ่งที่เสนอโดยลูกค้าและผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย.
Agile ไม่เหมาะกับโปรเจกต์ที่ต้องการการดำเนินการและการตรวจสอบที่เข้มงวดมาก เช่น ระบบที่มีความสำคัญต่อชีวิตของผู้คน ยกตัวอย่างเช่น ระบบควบคุมการจราจร การควบคุมการบิน และระบบการแพทย์ เนื่องจากภารกิจที่สำคัญประเภทนี้ต้องผ่านการตรวจสอบอย่างละเอียดในส่วนของระบบป้องกันความผิดพลาดระหว่างขั้นตอนการออกแบบ
โปรเจกต์แบบไหนบ้างที่เหมาะกับการทำงานแบบ Agile?
การทำงานแบบ Agile เหมาะอย่างยิ่งสำหรับโปรเจกต์ที่มีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ยิ่งถ้าโปรเจกต์ของคุณโฟกัสไปที่ตลาดใหม่ที่มีความเฉพาะกลุ่ม คุณอาจต้องการความคล่องตัวในการเพิ่มแนวคิดใหม่ๆ เข้าไปในโปรเจกต์ทันทีหลังจากที่ได้ศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับความต้องการทางธุรกิจของคุณในอนาคต
อย่างไรก็ตาม ในช่วงตลอดหลายปีที่ผ่านมา บริษัทพัฒนาซอฟต์แวร์หลายแห่ง แม้กระทั่งบริษัทขนาดใหญ่ที่มีความมั่นคง ก็กำลังเปลี่ยนไปใช้วิธีการพัฒนาซอฟต์แวร์แบบ Agile เนื่องจากสภาพแวดล้อมและพฤติกรรมของลูกค้าที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วในปัจจุบัน
ตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดก็คือการระบาดใหญ่ของไวรัสโควิด-19 ซึ่งทำให้ผู้บริโภคเกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมหลายอย่างมาก เช่น ความต้องการในการสื่อสารทางออนไลน์ที่สูงขึ้น การเชื่อมต่อที่มีความเสมือนจริงมากขึ้น และการใช้แอปพลิเคชันบนมือถือที่พุ่งสูงขึ้นกว่าเดิมมาก
โดยเริ่มต้นจากการรวบรวมและจัดทำเอกสารข้อกำหนดที่จำเป็นทั้งหมด จากนั้นจึงย้ายไปยังขั้นตอนการออกแบบ การพัฒนา การทดสอบ และขั้นตอนสุดท้ายในการปรับใช้และการส่งมอบโปรเจกต์ ซึ่งการทำงานในขั้นตอนต่อไปจะไม่สามารถเริ่มทำล่วงหน้าได้จนกว่าขั้นตอนปัจจุบันจะเสร็จสมบูรณ์
วิธีการทำงานแบบ Waterfall นั้นเป็นอะไรที่ตรงไปตรงมา ซึ่งหมายความว่าทั้งนักพัฒนาและลูกค้าสามารถตกลงกันได้ถึงสิ่งที่กำลังจะสร้างขึ้นในอนาคต โดยการมาพร้อมรายละเอียดที่ครบถ้วนในช่วงเริ่มต้นยังช่วยให้สามารถกำหนดวันที่เริ่มถึงวันที่สิ้นสุด เหตุการณ์สำคัญ และการส่งมอบผลิตภัณฑ์ได้ง่ายยิ่งขึ้น
ทีมนักพัฒนาสามารถมุ่งความสนใจไปที่งานของตนได้อย่างเต็มที่ โดยไม่ต้องให้ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียเข้ามามีส่วนร่วมหรือหารือเกี่ยวกับข้อกำหนดของผลิตภัณฑ์ในทันที
นอกจากนี้ โปรเจกต์แบบ Waterfall ยังช่วยให้คาดการณ์ได้ว่าผลิตภัณฑ์ขั้นสุดท้ายจะออกมาในรูปแบบไหนได้ง่ายขึ้น เนื่องจากกระบวนการพัฒนาซอฟต์แวร์ได้รับการจัดทำเป็นเอกสารและผ่านการอนุมัติตั้งแต่ช่วงเริ่มต้นโปรเจกต์เรียบร้อยแล้ว จึงทำให้ทีมนักพัฒนาไม่ต้องเข้าประชุมบ่อย ทุกคนจึงสามารถทำตามแผนอย่างเคร่งครัดเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ต้องการ
ลูกค้าที่เป็นเจ้าของโปรเจกต์ไม่ค่อยมีฟีดแบ็กอะไรที่เป็นประโยชน์ในช่วงแรกๆ ซึ่งเป็นการเพิ่มความเสี่ยงที่โปรเจกต์จะผิดพลาดไปจากเป้าหมายที่วางไว้ในตอนแรก
โครงสร้างการทำงานที่ถูกกำหนดไว้ตั้งแต่ตอนเริ่มโปรเจกต์จะจำกัดพื้นที่สำหรับการแชร์ไอเดียหรือความคิดสร้างสรรค์ใหม่ๆ ที่สมาชิกในทีมค้นพบระหว่างกำลังพัฒนาผลิตภัณฑ์
แนวทางการทำงานแบบ Waterfall ไม่ได้ดึงผู้ใช้ปลายทางให้เข้ามามีส่วนร่วม ดังนั้นผลิตภัณฑ์ขั้นสุดท้ายอาจไม่ใช่แอปพลิเคชันที่สมบูรณ์แบบสำหรับการมอบประสบการณ์ที่ดีให้กับผู้ใช้ หรือหลังจากนั้นอาจต้องใช้งบประมาณมากขึ้นสำหรับการปรับปรุงโปรเจกต์เพิ่มเติมและมีแนวโน้มที่ต้องทำงานที่มีภาระค่าใช้จ่ายสูงซ้ำอีกครั้ง
วิธีการพัฒนาซอฟต์แวร์แบบ Waterfall เหมาะสมที่สุดสำหรับโปรเจกต์ที่มีการกำหนดขอบเขตการทำงานไว้อย่างดี แต่ว่าข้อกำหนดที่คลุมเครืออาจไม่เหมาะและเสี่ยงที่จะทำให้ต้นทุนของโปรเจกต์เพิ่มขึ้นโดยไม่จำเป็นในภายหลัง เนื่องจากต้องทำกระบวนการทั้งหมดซ้ำอีกครั้ง
วิธีการทำงานนี้จะได้ผลดีก็ต่อเมื่อโปรเจกต์ของคุณมีผลลัพธ์ที่สามารถคาดการณ์ได้ และรวมถึงการที่บริษัทของคุณขาดผู้ที่มีความสามารถด้านเทคนิคทำงานอยู่ด้วย
ระบบที่มีความสำคัญต่อภารกิจซึ่งจะต้องมีการรับรองว่าจะไม่เกิดความผิดพลาดจากการทำงานของระบบตั้งแต่ในขั้นตอนการออกแบบ
วิธีการพัฒนาซอฟต์แวร์เป็นแนวทางให้ทีมพัฒนาซอฟต์แวร์ปฏิบัติตามเพื่อให้สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งวิธีการทำงานแบบ Agile ต่างจาก Waterfall ตรงที่มีจุดเด่นด้านการปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วได้ดีกว่า
การเลือกวิธีการพัฒนาซอฟต์แวร์ที่เหมาะสมกับโปรเจกต์ที่กำลังจะเริ่มทำนั้นเป็นสิ่งสำคัญ ไม่อย่างนั้นแล้วทีมพัฒนาซอฟต์แวร์ของคุณอาจจะต้องเสียเวลาและเงินโดยไม่จำเป็นสำหรับปัญหาที่สามารถหลีกเลี่ยงได้ตั้งแต่ตอนแรก
ดังนั้นเมื่อคุณต้องเลือกระหว่างวิธีการทำงานแบบ Agile กับ Waterfall สิ่งสำคัญที่สุดก็คือต้องพิจารณาข้อดีข้อเสีย พร้อมๆ กับศึกษาทีมและโปรเจกต์ของคุณ จากนั้นคุณจะพบเครื่องมือที่ใช่และข้อกำหนดที่เหมาะสมในการจัดทำโปรเจกต์พัฒนาซอฟต์แวร์ของคุณให้ประสบความสำเร็จได้