กรุงเทพฯ เมืองที่เต็มไปด้วยชีวิตชีวาและสตรีทฟู้ดมากมายได้กลายเป็น เวทีสำคัญของนวัตกรด้าน Mobilityในงาน HERE Technologies ครั้งล่าสุด ทีม Seven Peaks ได้มีโอกาสเข้าร่วมเพื่อฟังการบรรยาย เรียนรู้ และเก็บเกี่ยวมุมมองใหม่ ๆ เกี่ยวกับอนาคตของการคมนาคม
ภายในปี 2026 อนาคตของ Mobility จะถูกขับเคลื่อนด้วยระบบนิเวศที่ใช้ข้อมูลเป็นศูนย์กลาง (data-driven ecosystem) และด้วยความเชี่ยวชาญของเราในด้าน digital transformation ยิ่งเป็นการตอกย้ำว่าเราพร้อมที่จะช่วยให้ธุรกิจก้าวไปข้างหน้าอย่างมั่นใจในเส้นทางใหม่นี้
ลืมภาพรถยนต์แบบเดิมไปได้เลย เพราะอนาคต Software-defined Vehicle (SDV) ที่รถยนต์จะถูกพัฒนาเป็น smart device บนล้อ ซึ่งสามารถอัปเดต ปรับแต่ง และเพิ่มฟีเจอร์ใหม่ ๆ ได้ตลอดอายุการใช้งาน ฟังก์ชันสำคัญต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น infotainment หรือระบบความปลอดภัย ล้วนถูกควบคุมผ่านซอฟต์แวร์ ยกตัวอย่างเช่น Advanced Driver-Assistance Systems (ADAS) อย่าง adaptive cruise control หรือ lane-keeping assistance ที่ทำงานได้ด้วยข้อมูลจากแผนที่ละเอียดระดับเซนติเมตร ทั้งหมดนี้อาศัยรากฐานข้อมูลที่สำคัญ เพื่อให้รถสามารถตัดสินใจได้แบบเรียลไทม์ ขับขี่อย่างปลอดภัย และก้าวสู่โลกของ autonomous driving
พลังที่แท้จริงไม่ได้อยู่ที่รถยนต์เพียงอย่างเดียว แต่อยู่ที่ location intelligence หรือความสามารถในการดึง insight จากข้อมูลภูมิสารสนเทศ งานนี้ทำให้เราเห็นชัดว่าแพลตฟอร์ม location สมัยใหม่ไม่ได้มีไว้แค่บอกเส้นทางอีกต่อไป แต่สามารถเปลี่ยนวิธีการจัดการเมืองทั้งเมืองได้จริง ในภาคโลจิสติกส์ บริษัทต่าง ๆ ใช้ AI และ location data มาวิเคราะห์รูปแบบการจราจร คาดการณ์เวลาในการจัดส่ง และหาเส้นทางที่ประหยัดพลังงานที่สุดแบบเรียลไทม์
ผลลัพธ์คือทั้งลดต้นทุนการดำเนินงานและช่วยลดการปล่อยคาร์บอน ซึ่งถือเป็นเป้าหมายสำคัญของเมืองใหญ่อย่างกรุงเทพฯ และไม่เพียงเท่านั้น เทคโนโลยีเดียวกันยังถูกนำไปใช้ในการวางผังเมืองอัจฉริยะ ตั้งแต่การจัดการปัญหารถติด การวางแผนเส้นทางขนส่งสาธารณะ ไปจนถึงการเลือกทำเลที่เหมาะสมที่สุดในการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานใหม่ ๆ
เมื่อโลกก้าวเข้าสู่ยุค รถยนต์ไฟฟ้า (EVs) ความท้าทายใหม่ ๆ ก็ปรากฏขึ้น หนึ่งในนั้นคือ range anxiety หรือความกังวลว่าแบตเตอรี่จะหมดก่อนถึงสถานีชาร์จ ซึ่งเป็นอุปสรรคใหญ่สำหรับผู้ใช้งาน งานนี้แสดงให้เห็นชัดว่า ข้อมูลเชิงพื้นที่ (location data) และ AI สามารถแก้ปัญหานี้ได้ตรงจุด ด้วยการผสานข้อมูลสถานีชาร์จแบบเรียลไทม์ และคำนวณปัจจัยต่าง ๆ เช่น ความสูงของเส้นทางหรือสภาพการจราจร ระบบนำทางจึงสามารถวางเส้นทางที่มีประสิทธิภาพที่สุดสำหรับ EV ได้ ผลลัพธ์คือการเดินทางไกลที่ราบรื่นไม่ต่างจากรถน้ำมัน และสร้างความมั่นใจให้ทั้งผู้ขับขี่ทั่วไปและผู้จัดการฟลีทในการเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานไฟฟ้า
แต่การใช้ EV เป็นเพียงหนึ่งส่วนเล็ก ๆ ของภาพใหญ่ด้านพลังงานเท่านั้น การเปลี่ยนผ่านสู่ smart mobility เชื่อมโยงอย่างใกล้ชิดกับ นวัตกรรมด้านพลังงานด้วยเช่นกัน บริษัทน้ำมันและก๊าซที่เคยพึ่งพาเชื้อเพลิงฟอสซิล กำลังหันมาลงทุนในพลังงานหมุนเวียน ไฮโดรเจน และโครงสร้างพื้นฐานสำหรับ smart charging ขณะเดียวกัน แพลตฟอร์มพลังงานขั้นสูงที่ขับเคลื่อนด้วย AI และข้อมูลเชิงพื้นที่ ก็กำลังช่วยผู้ให้บริการไฟฟ้าคาดการณ์ความต้องการ วางตำแหน่งสถานีชาร์จอย่างเหมาะสม และสร้างสมดุลระหว่างพลังงานหมุนเวียนกับกริดไฟฟ้า
ทั้งหมดนี้สะท้อนว่าอนาคตของ mobility ไม่ได้ขึ้นอยู่กับการมีรถที่ฉลาดขึ้นเท่านั้น แต่ยังขึ้นอยู่กับ ระบบพลังงานอัจฉริยะ ที่พร้อมจะขับเคลื่อนมันด้วย
ประเทศไทยไม่ได้เป็นเพียงผู้ตามกระแสโลกอีกต่อไป แต่กำลังมีบทบาทสำคัญในการกำหนดอนาคตของ mobility ด้วยตัวเอง กรุงเทพฯ ในฐานะหนึ่งในเมืองที่มีการจราจรหนาแน่นที่สุด จึงกลายเป็นสนามทดสอบนวัตกรรมที่ท้าทายที่สุดเช่นกัน ภายในงาน Pras Ganesh, Executive Vice President ของ Toyota Asia ได้ยกตัวอย่างความร่วมมือกับรัฐบาลไทยในย่านจตุจักร ที่นำข้อมูลและ insight ด้าน mobility มาใช้เพื่อระบุจุดเล็ก ๆ ที่เมื่อปรับแล้วสร้างผลลัพธ์ใหญ่อย่างเช่น การปรับผังจราจรเพียงเล็กน้อย แต่ช่วยให้การสัญจรคล่องตัวขึ้นได้โดยไม่ต้องใช้งบประมาณมหาศาล
แนวคิดนี้สอดคล้องกับเป้าหมายของไทยด้าน smart city การขนส่งที่ยั่งยืน และการผลักดันการใช้ EV ในวงกว้าง หากประเทศไทยสามารถปรับใช้เทคโนโลยีอย่าง SDV Location Intelligence และโซลูชัน e-Mobility ได้จริงจัง ก็จะสามารถเปลี่ยนความท้าทายด้านการเดินทางให้เป็นโอกาส ยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้คน และเสริมบทบาทในฐานะ ศูนย์กลางนวัตกรรมระดับภูมิภาค ได้อย่างแท้จริง
บทเรียนจากงาน HERE Technologies ทำให้เราเห็นชัดว่า อนาคตของ mobility กำลังมุ่งไปสู่โลกที่ smart, sustainable และ connected
สำหรับธุรกิจ ไม่ว่าจะในไทยหรือที่ไหนก็ตาม เวลาที่จะก้าวสู่อนาคตคือ ตอนนี้ Seven Peaks พร้อมเดินเคียงข้างคุณ เพื่อเปลี่ยนเทรนด์เหล่านี้ให้กลายเป็นโอกาสทางธุรกิจที่จับต้องได้จริง และสร้างความแตกต่างอย่างยั่งยืน